การทิ้งระเบิดที่เดรสเดินในสงครามโลกครั้งที่สอง

การทิ้งระเบิดที่เดรสเดินในสงครามโลกครั้งที่สอง
ส่วนหนึ่งของ ยุทธวิธีการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2

เดรสเดินหลังจากถูกระเบิด
วันที่13–15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945
สถานที่
ผล
  • เป้าหมายถูกทำลาย
  • ฝ่ายเยอรมันเสียหายอย่างหนัก
คู่สงคราม
สหราชอาณาจักร กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
สหรัฐ กองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ
นาซีเยอรมนี ลุฟท์วัฟเฟอ
กำลัง
ความสูญเสีย
อากาศยาน 7 ลำ (โบอิง บี-17 ฟลายอิงฟอร์เทรส 1 ลำ และเอฟโร แลนด์แคสเตอร์ 6 ลำ รวมถึงคนขับ) ถูกฆ่า 22,700–25,000 คน

การทิ้งระเบิดเดรสเดิน เป็นการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายบริติชและอเมริกันต่อเมืองเดรสเดิน เมืองหลวงของรัฐแซกโซนีของเยอรมนี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในการตีโฉบฉวยสี่ครั้งระหว่างวันที่ 13 และ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดหนัก 722 ลำของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร(RAF) และ 527 ลำของกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ(USAAF) ซึ่งได้ทิ้งระเบิดแรงสูงมากกว่า 3,900 ตันและอุปกรณ์ในการก่อให้เกิดเพลิงไหม้ในตัวเมือง[1] การทิ้งระเบิดครั้งนี้ก่อให้เกิดพายุเพลิง ทำลายมากกว่า 1,600 เอเคอร์(6.5 ตารางกิโลเมตร)ของส่วนกลางเมือง[2] มีประชากรที่เสียชีวิตลง[a]จำนวนประมาณ 22,700 คน[3]ถึง 25,000 คน[4] ถึงแม้ว่าจะมีการอ้างอิงถึงตัวเลขเสียชีวิตจำนวนมากขึ้น การตีโฉบฉวยของกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐได้เพิ่มเติมอีกครั้ง จำนวนสองครั้ง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มีนาคม มุ่งเป้าหมายไปที่ลานจอดรถไฟของเมืองและการตีโฉบฉวยขนาดเล็กครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 17 เมษายน มุ่งเป้าหมายไปที่เขตอุตสาหกรรม

โฆษณาชวนเชื่อของเยอรมันได้กล่าวออกมาทันทีว่าภายหลังจากการโจมตีและการอภิปรายหลังสงคราม[5] ว่าการโจมตีนั้นมีเหตุสมควรหรือไม่นั้นที่ทำให้การทิ้งระเบิดกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลทางศีลธรรม กรณีที่โด่งดัง(causes célèbres)ในสงคราม ปี ค.ศ. 1953 กองทัพอากาศสหรัฐได้รายงานปกป้องปฏิบัติการว่า การทิ้งระเบิดที่สมเหตุต่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ซึ่งพวกเขาได้สังเกตเห็นว่า เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรถไฟและการสื่อสาร์ที่สำคัญ ที่ตั้งโรงงาน 110 แห่ง และคนงาน 50,000 คนที่สนับสนุนในความพยายามทำสงครามของเยอรมัน[6] นักวิจัยหลายคนได้อ้างว่าไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมทั้งหมด เช่น สะพาน เป็นเป้าหมาย และไม่ได้มีพื้นที่เขตอุตสาหกรรมที่กว้างขวางบนนอกใจกลางเมือง[7] มีการวิจารณ์ต่อการทิ้งระบิดครั้งนี้ได้รับการยืนยันว่าเดรสเดิน เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม ในขณะที่ได้มองข้ามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และอ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการทิ้งระเบิดลงบนพื้นดินแบบไม่เจาะจงและไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ทางทหาร[8][9][10] แม้ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนโดยมาตรฐานทางกฎหมายใดๆ ในขณะที่เดรสเดินได้รับการปกป้องและตั้งเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทหารที่สำคัญและเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมสงครามหลายแห่ง บางครั้งได้อ้างว่าการตีโฉบฉวยครั้งนี้คือการก่ออาชญากรรมสงคราม[11] บางครั้ง, ส่วนใหญ่ในกลุ่มเยอรมันฝ่ายขวาจัด ได้เรียกว่าการทิ้งระเบิดครั้งนี้ว่าเป็นการสังหารหมู่ เรียกว่า "การทิ้งระเบิดฮอโลคอสต์ที่เดรสเดิน"[12][13]

รูปแบบจำนวนมากในยอดผู้เสียชีวิตที่ได้มีการอ้างอิงได้ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 รัฐบาลเยอรมันได้ออกคำสั่งให้สื่อมวลชนเผยแพร่จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวน 200,000 คน จากการตีโฉบฉวยเดรสเดิน และผู้เสียชีวิตจำนวนสูงสุดถึง 50,000 คนได้ถูกกล่างอ้างถึง[14][15][16] ผู้มีอำนาจเมืองในช่วงเวลานั้นได้ประเมินผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถึง 25,000 คนซึ่งเป็นตัวเลขที่สนับสนุนในการสืบสวนภายหลัง รวมทั้งการศึกษาในปี ค.ศ. 2010 ที่ได้รับมอบหมายจากสภาเทศบาลเมือง[17] หนึ่งในนักเขียนหลักที่รับผิดชอบจากการเขียนจำนวนตัวเลขที่สูงเกินจริงได้ถูกเผยแพร่ในตะวันตกคือผู้ปฏิเสธฮอโลคอสต์ เดวิด ไอวิง ซึ่งได้ประกาศในภายหลัง เมื่อเขาได้ค้นพบว่าเอกสารที่เขาทำงานมานั้นได้ถูกปลอมแปลงขึ้นมาและจำนวนแท้จริงนั้นรองรับจำนวน 25,000 คน[18]

อ้างอิง

  1. *The number of bombers and tonnage of bombs are taken from a USAF document written in 1953 and classified secret until 1978 (Angell 1953).
    • Taylor (2005), front flap,แม่แบบ:Verification needed which gives the figures 1,100 heavy bombers and 4,500 tons.
    • Webster and Frankland (1961) give 805 Bomber Command aircraft 13 February 1945 and 1,646 US bombers 16 January – 17 April 1945. (Webster & Frankland 1961, pp. 198, 108–109).
    "Mission accomplished" เก็บถาวร 6 มิถุนายน 2008 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The Guardian, 7 February 2004.
  2. Harris 1945.
  3. คำเตือนการอ้างอิง: <ref> tag with name Shortnews cannot be previewed because it is defined outside the current section or not defined at all.
  4. คำเตือนการอ้างอิง: <ref> tag with name Rolf cannot be previewed because it is defined outside the current section or not defined at all.
  5. Norwood, 2013, page 237
  6. คำเตือนการอ้างอิง: <ref> tag with name USAFHD cannot be previewed because it is defined outside the current section or not defined at all.
  7. McKee 1983, p. 62.
  8. Dresden was a civilian town with no military significance. Why did we burn its people? เก็บถาวร 21 เมษายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน By Dominic Selwood. The Telegraph, 13 February 2015
  9. Addison & Crang 2006, Chapter 9 p. 194.
  10. McKee 1983, pp. 61–94.
  11. http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/europe/3830135.stm
  12. คำเตือนการอ้างอิง: <ref> tag with name Volkery cannot be previewed because it is defined outside the current section or not defined at all.
  13. Rowley, Tom (8 February 2015) "Dresden: The wounds have healed but the scars still show" เก็บถาวร 3 ตุลาคม 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The Telegraph
  14. Bergander 1998, p. 217.
  15. Taylor 2004, p. 370.
  16. Atkinson 2013, p. 535.
  17. Neutzner 2010, p. 68.
  18. Dresdener Neueste Nachrichten. 24 January 2005 http://fpp.co.uk/History/General/Dresden/Dr_Neueste_Nachr250105.html. {cite web}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)

ตัวอย่างการอ้างอิง

  1. Causalty figures have varied mainly due to false information spread by Nazi German and Soviet propaganda. Some figures from historians include: 18,000+ (but less than 25,000) from Antony Beevor in "The Second World War"; 20,000 from Anthony Roberts in "The Storm of War"; 25,000 from Ian Kershow in "The End"; 25,000–30,000 from Michael Burleigh in "Moral Combat"; 35,000 from Richard J. Evans in "The Third Reich at War: 1939-1945".