การพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียโดยมุสลิม
การพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียโดยมุสลิม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การพิชิตดินแดนโดยมุสลิม | |||||||
แผนที่เปอร์เซียและภูมิภาครอบ ๆ ก่อนการบุกครองโดยมุสลิม | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน คานารางิยานส์ (หลังค.ศ.651) |
จักรวรรดิแซสซานิด คอเคซัสแอลเบเนีย (ค.ศ.633–636) ชาวอาหรับคริสเตียน (ค.ศ.633–637) คานารางิยานส์ (ค.ศ.633–651) ตระกูลอิสปะฮ์บูดาน (ค.ศ.633–651) ตระกูลมิฮรอน (ค.ศ.633–651) ตระกูลคารีน (ค.ศ.633–654) ดาบูยิดส์ (642–651) Hephthalites (651–654) สนับสนุนโดย: จักรวรรดิไบแซนไทน์ | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
รายชื่อ
|
รายชื่อ
|
การพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียของมุสลิม (อังกฤษ: Muslim conquest of Persia) เป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิซาสซานิยะห์ในปี ค.ศ. 644, และเป็นที่มาของการล่มสลายของราชวงศ์ซาสซานิยะห์ ในปี ค.ศ. 651 และการสิ้นสุดของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ในเปอร์เซีย จักรวรรดิซาสซานิยะห์ถูกรุกรานครั้งแรกโดยมุสลิม ในบริเวณที่ปัจจุบันคือประเทศอิรักในปี ค.ศ. 633 ในสมัยคอลิด อิบน์ อัลวะลีด (خالد بن الوليد - Khalid ibn al-Walid) ซึ่งเป็นการพิชิตอิรักของมุสลิม หลังจากการย้ายคาลิดไปยังบริเวณแนวโรมันในลว้าน มุสลิมก็เสียอิรักคืนแก่การกลับมาโจมตีของเปอร์เซีย การรุกรานอิรักครั้งที่สองในปี ค.ศ. 636 ภายใต้การนำของซะอัด อิบุน อบี วัคคัซ (Sa`d ibn Abi Waqqas) ซึ่งหลังจากชัยชนะในยุทธการสำคัญยุทธการคาดิซิยะห์ (en:Battle of al-Qādisiyyah) อิทธิพลการปกครองทางตะวันตกของเปอร์เซียของซาสซานิยะห์ก็สิ้นสุดลง เทือกเขาซาโกรส (en:Zagros mountains) กลายเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างจักรวรรดิกาหลิปรอชิดีน และจักรวรรดิซาสซานิยะห์
การได้รับชัยชนะในช่วงระยะเวลาอันสั้นในเปอร์เซียเป็นการรณรงค์ทางทหารตามที่วางแผนไว้เป็นอย่างดีโดยกาหลิบอุมัรในอัลมะดีนะฮ์ (Medina) ซึ่งอยู่ห่างไกลจากสมรภูมิในเปอร์เซียหลายพันกิโลเมตรเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่อุมัรว่าเป็นนักยุทธศาสตร์และนักการเมืองผู้มีความสามารถที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์[2]
นักประวัติศาสตร์มุสลิมส่วนใหญ่ให้ความเห็นกันมาเป็นเวลานานแล้วว่าเปอร์เซียที่เกือบจะถูกรุกรานโดยอาหรับเป็นสังคมที่อยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมและพร้อมอยู่แล้วที่จะรับการรุกรานของอาหรับด้วยความเต็มใจ แต่นักเขียนผู้อื่นผู้ใช้หลักฐานข้อมูลของอาหรับในการค้นคว้าทั้งหมด ที่แสดงว่าตรงกันข้ามกับความเชื่อดังกล่าวชาวอิหร่านต่อสู้การรุกรานของชาวอาหรับอย่างเหนียวแน่นอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพ่ายแพ้[3] นอกจากนั้นกลุ่มหลังนี้ก็ยังกล่าวว่าหลังจากการได้รับชัยชนะทางการเมืองแล้ว เปอร์เซียก็ยังเริ่มสงครามทางวัฒนธรรมและประสบความสำเร็จในการมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมอาหรับ[4][5]
อ้างอิง
- ↑ Pourshariati (2008), pp. 469
- ↑ The Muslim Conquest of Persia By A.I. Akram. Ch: 1 ISBN 0195977130, 9780195977134
- ↑ Milani A. Lost Wisdom. 2004 ISBN 0934211906 p.15
- ↑ Mohammad Mohammadi Malayeri, Tarikh-i Farhang-i Iran (Iran's Cultural History). 4 volumes. Tehran. 1982.
- ↑ ʻAbd al-Ḥusayn Zarrīnʹkūb (1379 (2000)). Dū qarn-i sukūt : sarguz̲asht-i ḥavādis̲ va awz̤āʻ-i tārīkhī dar dū qarn-i avval-i Islām (Two Centuries of Silence). Tihrān: Sukhan. OCLC: 46632917, ISBN 964-5983-33-6.
{cite book}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help)
บรรณานุกรม
- Bashear, Suliman — Arabs and Others in Early Islam, Darwin Press, 1997
- Daniel, Elton — The History of Iran, Greenwood Press, 2001
- Donner, Fred — The Early Islamic Conquests, Princeton, 1981
- M. Ismail Marcinkowski, Persian Historiography and Geography: Bertold Spuler on Major Works Produced in Iran, the Caucasus, Central Asia, India and Early Ottoman Turkey, with a foreword by Professor Clifford Edmund Bosworth, member of the British Academy, Singapore: Pustaka Nasional, 2003, ISBN 9971-77-488-7.
- Sicker, Martin — The Islamic World in Ascendancy: From the Arab Conquests to the Siege of Vienna, Praeger, 2000
- Zarrin’kub, Abd al-Husayn — Ruzgaran : tarikh-i Iran az aghz ta saqut saltnat Pahlvi, Sukhan, 1999. ISBN 964-6961-11-8
- Arab Conquest of Iran เก็บถาวร 2011-06-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, pp. 203–10, Encyclopaedia Iranica.