มาร์ทีน นีเมิลเลอร์
มาร์ทีน นีเมิลเลอร์ Martin Niemöller | |
---|---|
เกิด | 14 มกราคม ค.ศ. 1892 ลิพชตัท จักรวรรดิเยอรมัน |
เสียชีวิต | 6 มีนาคม ค.ศ. 1984 วีสบาเดิน ประเทศเยอรมนีตะวันตก | (92 ปี)
อาชีพ | ทหารเรือ, บาทหลวง, นักเทววิทยา |
คู่สมรส | เอ็ลเซอ บรุนเนอร์ |
ฟรีดริช กุสทัฟ เอมีล มาร์ทีน นีเมิลเลอร์ (เยอรมัน: Friedrich Gustav Emil Martin Niemöller) เป็นบาทหลวงนิกายลูเทอแรน นักเทววิทยา และอดีตทหารเรือในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งชาวเยอรมัน[1][2] มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ต่อต้านระบอบนาซี และเป็นเจ้าของวลีโด่งดังที่สุดในการต่อต้านระบอบนาซี
หลังทษวรรษที่ 1950 เป็นต้นไป เขาเป็นนักกิจกรรมใผ่สันติและต่อต้านสงคราม เขาดำรงตำแหน่งรองประธานขององค์การผู้ต่อต้านสงครามนานาชาติระหว่างค.ศ. 1966 ถึง 1972 และยังเป็นแกนนำผู้เรียกร้องการปลดอาวุธนิวเคลียร์[3]
ประวัติ
นีเมิลเลอร์เกิดที่เมืองลิพชตัท (Lippstadt) มณฑลเว็สท์ฟาเลิน จักรวรรดิเยอรมัน เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1892 เขาเติบโตมาในครอบครัวหัวเก่า ซึ่งมีบิดาเป็นบาทหลวงนิกายลูเทอแรน ต่อมาในปีค.ศ. 1900 ครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองเอ็ลแบร์เฟ็ลด์ (Elberfeld)
เขารับราชการเป็นนายทหารเรือ ปฏิบัติหน้าที่บนเรืออูในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรือเอกนีเมิลเลอร์มีผลงานประจักษ์จนได้รับกางเขนเหล็กชั้นหนึ่ง เมื่อสงครามสิ้นสุด จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 สละราชสมบัติ นีเมิลเลอร์ไม่ยอมรับรัฐบาลประชาธิปไตยจึงลาออกจากราชการทหารและผันตัวเป็นครูสอนศาสนา เขาบวชเป็นบาทหลวงเต็มตัวเมื่อค.ศ. 1924[4] ต่อมาเขาย้ายไปเป็นบาทหลวงประจำเมืองดาเลิมในกรุงเบอร์ลินเมื่อปีค.ศ. 1931[5]
นีเมิลเลอร์เป็นคนหัวเก่าเช่นเดียวกับบาทหลวงส่วนใหญ่ในเยอรมนี เขาต่อต้านรัฐบาลไวมาร์ซึ่งเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยอย่างเปิดเผย ในตอนแรก เขายินดีกับการเรืองอำนาจของฮิตเลอร์ในปีค.ศ. 1933 โดยเชื่อว่าฮิตเลอร์จะฟื้นฟูประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งดังเช่นอดีตได้อีกครั้ง ในหนังสือเกี่ยวกับเรืออูของเขาซึ่งตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1933 เรียกยุคสาธารณรัฐไวมาร์ว่าเป็น "ยุคมืด" และยกย่องฮิตเลอร์ว่าเป็นผู้ริเริ่ม "บูรณชาติ"[6]: 235 หนังสือของนีเมิลเลอร์เล่มนี้ได้รับผลตอบรับทางบวกจากหนังสือพิมพ์และกลายเป็นหนังสือขายดีอันดับต้นๆในขณะนั้น
แต่เมื่อรัฐบาลนาซีออกบทบัญญัติ "วรรคอารยัน" (Arierparagraph) ซึ่งตัดสิทธิ์หลายประการของชาวยิว รวมไปถึงสิทธิ์ในการนับถือลูเทอแรน นีเมิลเลอร์จึงผันตัวเป็นฝ่ายตรงกับระบอบนาซี เขาร่วมลงชื่อในภาคีนักบวชโปรแตสแตนท์ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์นโยบายนาซีและประกาศว่าวรรคอารยันไม่สอดคล้องกับหลักเมตตาธรรมของชาวคริสต์[7] ในค.ศ. 1934 เขาร่วมจัดตั้งโบสถ์สารภาพ (Bekennende Kirche) ซึ่งเป็นกลุ่มคริสต์ที่ต่อต้านการครอบงำศาสนจักรโดยระบอบนาซี
การต่อต้านระบอบนาซีของเขาทำให้เขาถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 เขาถูกไต่สวนโดยศาลพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ เขาถูกพิพากษาปรับ 2,000 ไรชส์มาร์คและถูกกักขังเป็นเวลาเจ็ดเดือน แต่ทันทีที่ถูกปล่อยตัว เขาก็ถูกจับกุมซ้ำโดยตำรวจลับขององค์การเอ็สเอ็ส และถูกส่งตัวไปค่ายกักกันซัคเซินเฮาเซินและค่ายกักกันดาเคา ระหว่างนั้น เขาเคยเสนอตัวเป็นผู้บังคับการเรือดำน้ำ แต่ถูกปฏิเสธ[8] เขาถูกกักขังจนสิ้นสุดสงครามในปีค.ศ. 1945
วลีของนีเมิลเลอร์
วลีของนีเมิลเลอร์มีอยู่หลายฉบับหลายคำแปลด้วยกัน ฉบับที่ได้รับความนิยมที่สุดปรากฏตามพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐ แต่ฉบับดังกล่าวไม่ใช่ฉบับที่ถูกต้อง[9] และด้านล่างนี้คือฉบับที่มูลนิธิมาร์ทีน-นีเมิลเลอร์ ยอมรับนับถือเป็นต้นฉบับ
|
|
อ้างอิง
- ↑ Pace, Eric (8 March 1984). "Martin Niemoller, Resolute Foe Of Hitler". New York Times.
- ↑ "Niemöller, (Friedrich Gustav Emil) Martin" The New Encyclopædia Britannica (Chicago: University of Chicago, 1993), 8:698.
- ↑ Rupp, Hans Karl. "Niemöller, Martin", in The World Encyclopedia of Peace. Edited by Linus Pauling, Ervin László, and Jong Youl Yoo. Oxford : Pergamon, 1986. ISBN 0-08-032685-4, (vol 2, p.45-6).
- ↑ Current Biography 1943, pg.555
- ↑ "Niemöller", 8:698.
- ↑ Shirer, William L (1960). The rise and fall of the Third Reich: a history of Nazi Germany (ภาษาอังกฤษ). New York: Simon & Schuster. ISBN 978-0-671-72869-4. OCLC 22888118.
- ↑ Martin Stöhr, „…habe ich geschwiegen“. Zur Frage eines Antisemitismus bei Martin Niemöller
- ↑ Niemoeller Volunteers for U-Boat Service; Nazis Reject Imprisoned Pastor's Offer
- ↑ Marcuse, Harold. "Martin Niemöller's famous confession: "First they came for the Communists ... "". University of California at Santa Barbara.
- ↑ Quellen: So hat Niemöller es geschrieben. Es wurde sehr häufig abgewandelt. Martin-Niemöller-Stiftung