เสาวรส
เสาวรส | |
---|---|
เสาวรสสีม่วงจากออสเตรเลียทั้งผลและผ่าตามขวาง | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Angiosperms |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Eudicots |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Rosids |
อันดับ: | Malpighiales |
วงศ์: | Passifloraceae |
สกุล: | Passiflora |
สปีชีส์: | P. edulis |
ชื่อทวินาม | |
Passiflora edulis Sims, 1818 |
เสาวรส, กะทกรกฝรั่ง, กะทกรกสีดา หรือ กะทกรกยักษ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Passiflora edulis, อังกฤษ: Passionfruit, สเปน: Maracujá) เป็นไม้เถาเลื้อย ถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศบราซิล ปารากวัย อาร์เจนตินา ผลเป็นรูปกลม ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกมีหลายสีแล้วแต่พันธุ์ ทั้งสีม่วง เหลือง ส้ม ชั้นในสุดของเปลือกเป็นเยื่อสีขาวที่เรียกรก ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นถุง[1] กลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสเปรี้ยวจัด บางพันธุ์มีรสอมหวาน
การผสมเกสร
การผสมเกสรนั้นจะใช้แมลงภู่เพื่อการผสมเกสรในเชิงการค้าในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย และส่วนอื่น ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าดอกเสาวรสบานสัมพันธ์กันกับช่วงที่แมลงภู่กำลังแพร่กระจายจำนวนประชากร แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้วิวัฒนาการมาอย่างสัมพันธ์กัน[2]
การกระจายพันธุ์
มีการปลูกเสาวรสทางการค้าในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นิวซีแลนด์ ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน บราซิล โคลอมเบีย โบลิเวีย เอกวาดอร์ อินโดนีเซีย เปรู เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แอฟริกาตะวันออก เม็กซิโก อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้และโปรตุเกส
ในประเทศไทยมีเสาวรสที่ปลูกทั่วไป 3 พันธุ์คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อสุกเปลือกสีม่วง เนื้อในสีเหลือง รสอมหวานมากกว่าพันธุ์อื่น ๆ แต่ไม่ค่อยต้านทานโรคในเขตร้อน พันธุ์สีเหลืองหรือเสาวรสสีทอง ผลแก่สีเหลือง รสเปรี้ยวมาก นิยมปลูกในเขตร้อน พันธุ์ผสม เมื่อสุกเป็นสีม่วงอมแดง รสเปรี้ยวจัด กลิ่นแรง สามารถปักชำและเสียบยอดได้
การใช้ประโยชน์
ผลสุกของเสาวรสนำมาทำน้ำผลไม้และไวน์ หรือเติมลงในน้ำผลไม้ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มกลิ่น[3]
ในทวีปอเมริกาใต้รับประทานเปลือกของเสาวรสสุก หรือนำไปปั่นรวมกับน้ำตาลและน้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มที่เรียก Refresco นำเนื้อเสาวรสไปทำขนมได้หลายชนิดทั้งเค้ก ไอศกรีม แยม เยลลี ยอดเสาวรสนำไปแกงหรือกินกับน้ำพริกเมล็ดนำไปสกัดน้ำมันพืช ทำเนยเทียม เปลือกนำไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้งเป็นอาหารสัตว์ เปลือกเสาวรสที่อ่อนบางพันธุ์มีสารประกอบไซยาไนต์เล็กน้อยโดยเฉพาะผลสีม่วง แต่เมื่อนำเปลือกมาทำแยมด้วยความร้อนสูง สารประกอบไซยาไนต์จะหายไป[4]
การใช้ประโยชน์ในประเทศต่าง ๆ มีดังนี้
- บราซิล มูสเสาวรสเป็นของหวานที่พบได้ทั่วไป เมล็ดเสาวรสนิยมใช้แต่งหน้าเค้ก ในการปรุงCaipirinha นิยมใช้เสาวรสแทนมะนาว
- โคลอมเบีย เป็นผลไม้ที่สำคัญในการทำน้ำผลไม้และขนม เรียกเสาวรสว่า "Maracuyá"
- สาธารณรัฐโดมินิกันเรียกเสาวรสว่า chinola ใช้ทำน้ำผลไม้และใช้แต่งรสไซรับ กินเป็นผลไม้สดกับน้ำตาล
- ฮาวาย ทั้งเสาวรสสีม่วงและสีเหลืองใช้กินเป็นผลไม้ น้ำเชื่อมรสเสาวรสใช้แต่งหน้าน้ำแข็ง ไอศกรีม และใช้เป็นส่วนผสมในเค้ก คุกกี้ แยม เยลลี่ เนย
- อินโดนีเซีย มีเสาวรสสองชนิด คือชนิดสีขาวกับสีเหลือง สีขาวกินเป็นผลไม้ สีเหลืองใช้ทำน้ำผลไม้ และเคียวกับน้ำตาลเป็นไซรับ
- นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย นิยมกินผลสดเป็นอาหารเช้าในช่วงฤดูร้อน เช่นทำฟรุตสลัด เสาวรสใช้ทำขนมหลายอย่าง เช่นแต่งหน้าเค้ก pavlova ไอศกรีม ใช้แต่งรสชีสเค้ก และมีน้ำอัดลมรสเสาวรสในออสเตรเลีย
- ปารากวัย ใช้ทำน้ำผลไม้ ใช้ผสมในเค้กมูส ชีสเค้ก ใช้แต่งรสโยเกิร์ตและคอกเทล
- เม็กซิโก ใช้ทำน้ำผลไม้หรือรับประทานผลกับพริกป่นและน้ำเลมอน
- เปอร์โตริโก เรียกเสาวรสว่า "Parcha" นิยมใช้เป็นยาลดความดัน[5] ใช้ทำน้ำผลไม้ ไอศกรีมหรือเพสตรี
- เปรูใช้เสาวรสทำขนมหลายชนิดรวมทั้งชีสเค้ก ใช้ทำน้ำผลไม้ ผสมใน ceviche และคอกเทล
- ฟิลิปปินส์รับประทานเป็นผลไม้ มีขายทั่วไปแต่ไม่เป็นที่นิยมมาก
- แอฟริกาใต้ เสาวรสรู้จักกันในชื่อ Granadilla ใช้แต่งรสโยเกิร์ต น้ำอัดลม กินเป็นผลไม้หรือใช้แต่งหน้าเค้ก
- ศรีลังกา นิยมดื่มน้ำเสาวรสเป็นน้ำผลไม้ [6]
- สหรัฐอเมริกา ใช้ผสมในน้ำผลไม้ผสม
- เวียดนาม รับประทานเสาวรสปั่นกับน้ำผึ้งและน้ำแข็ง
- ไทย นิยมรับประทานสด หรือแปรรูปเป็นน้ำผลไม้
สารอาหาร
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 406 กิโลจูล (97 กิโลแคลอรี) |
23.38 g | |
น้ำตาล | 11.20 g |
ใยอาหาร | 10.4 g |
0.70 g | |
2.20 g | |
วิตามิน | |
วิตามินเอ | (8%) 64 μg |
ไรโบเฟลวิน (บี2) | (11%) 0.130 มก. |
ไนอาซิน (บี3) | (10%) 1.500 มก. |
โฟเลต (บี9) | (4%) 14 μg |
วิตามินซี | (36%) 30.0 มก. |
แร่ธาตุ | |
แคลเซียม | (1%) 12 มก. |
เหล็ก | (12%) 1.60 มก. |
แมกนีเซียม | (8%) 29 มก. |
ฟอสฟอรัส | (10%) 68 มก. |
โพแทสเซียม | (7%) 348 มก. |
สังกะสี | (1%) 0.10 มก. |
Nutrient values and weights are for edible portion. | |
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ แหล่งที่มา: USDA FoodData Central |
ผลเสาวรสสุกมีบีตา-แคโรทีน โพแทสเซียมและใยอาหารสูง น้ำเสาวรสมีวิตามินซีมากและเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง[7] ผลสีเหลืองใช้ในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้ ส่วนผลสีม่วงนิยมบริโภคสด เสาวรสมีไลโคพีน ในชั้นเพอริคาร์บ[8]
ภาพของเสาวรส
-
เสาวรส 3 สปีชีส์
-
เสาวรสสีม่วง
-
ผลเสาวรสม่วงผ่าตามขวาง
-
เสาวรสสีเหลืองที่เก็บเกี่ยวแล้ว (P.flavicarpa)
-
เสาวรสสีม่วงที่เก็บเกี่ยวแล้ว
-
ขนาดที่ต่างกันของเสาวรสสีเหลืองและสีม่วง
-
ผลเสาวรสที่ยังติดอยู่กับเถา
-
ดอกของ Passiflora flavicarpa
อ้างอิง
- ↑ "Passion Fruit: Background, Nutrition, Preparation". Exotic Fruit for Health. 25 August 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-27. สืบค้นเมื่อ 18 September 2011.
- ↑ Mardan, M., Yatim, Ismail, M. and Raji Khalid, Mohd. (1991). “Nesting Biology and Foraging Activity of Carpenter Bee on Passion Fruit”. Acta Hort. (ISHS) 288: 127-132 [1].
- ↑ "Passiflora edulis Sims". Germplasm Resources Information Network. United States Department of Agriculture. 2007-06-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-06. สืบค้นเมื่อ 2010-01-07.
- ↑ Chassagne, David; Crouzet, Jean C.; Bayonove, Claude L.; Baumes, Raymond L. (18 December 1996). "Identification and Quantification of Passion Fruit Cyanogenic Glycosides". Journal of Agricultural and Food Chemistry. American Chemical Society. 44 (12): 3817. doi:10.1021/jf960381t.
{cite journal}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|unused_data=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "Make Choosing Good Food for High Blood Pressure an Easy and Exciting Experience". highbloodpressureinfo.org. Site Build It!. สืบค้นเมื่อ 2010-08-13.
- ↑ "Passion fruit cordial Faluda and Sri Lankan food - TasteSpotting". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-20. สืบค้นเมื่อ 2011-12-30.
- ↑ "Passionfruit". organicfood.com. WSPA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-31. สืบค้นเมื่อ 2008-08-25.
- ↑ Evangelia Mourvaki, Stefania Gizzi, Ruggero Rossi, Stefano Rufini, "Passionflower Fruit—A "New" Source of Lycopene?", Journal of Medicinal Food. Spring 2005: 104-106.
- นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550
แหล่งข้อมูลอื่น
- Purdue.edu, Fruits of Warm Climates: Passionfruit
- Saowaros.com, Thai Passion fruit
- CRFG.org เก็บถาวร 2020-07-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, California Rare Fruit Growers: Passion Fruit Fruit Facts
- Passiflora.org, Passiflora Society International
- DaleysFruit.com.au, Australian Passionfruit Varieties
- Phytochemicals.info, phytochemicals in Passion Fruit
- Passionflow.co.uk, Passiflora Online