ไทป์ 61
Type 61 | |
---|---|
![]() A Type 61 tank on display at the JGSDF Ordnance School in Tsuchiura, Ibaraki prefecture, Japan. | |
ชนิด | Main battle tank |
แหล่งกำเนิด | Japan |
บทบาท | |
ประจำการ | 1961 – 2000 |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | Mitsubishi Heavy Industries |
ช่วงการออกแบบ | 1955 – 1960 |
บริษัทผู้ผลิต | Mitsubishi Heavy Industries |
ช่วงการผลิต | 1961 – 1975 |
จำนวนที่ผลิต | 560 |
แบบอื่น | See Variants |
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล | 35 tonnes |
ความยาว | 8.19 / 6.03 m |
ความกว้าง | 2.95 m |
ความสูง | 2.49 m |
ลูกเรือ | 4 |
เกราะ | 55 mm(hull) - 114 mm(turret) |
อาวุธหลัก | 90 mm L/52 rifled cannon, Muzzle velocity: 910m/s (M318AP-T) |
อาวุธรอง | 7.62mm Browning M1919A4 machine gun 12.7mm M2 Browning machine gun |
เครื่องยนต์ | Mitsubishi 12HM21WT 4 stroke V type 12 cylinder vertical air cooled diesel 570 hp / 2100 rpm, 29600 cc |
กำลัง/น้ำหนัก | 17.14hp/t |
กันสะเทือน | torsion bar |
พิสัยปฏิบัติการ | 200 km |
ความเร็วสูงสุด | 45 km/h (paved roads) |

ไทป์ 61 (ญี่ปุ่น: 61式戦車, Roku-ichi Shiki sensha) เป็นรถถังชนิด main battle tank (MBT) ผลิดและใช้งานโดย กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (JGSDF), รถถังออกแบบโดย Mitsubishi Heavy Industries
เรืองราวทั้งหมดมันเริ่มจาก ความต้องการ รถถัง ของกองกำลังป้องกันตนเองแห่งญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นได้รับความเสียหายอย่างหนัก และโรงงานเป็นจำนวนมาก ถูกพิษสงครามทำลายจนไม่อาจฟื้นขึ้นมาใหม่ได้
และประกอบกับญี่ปุ่นโดนฝ่ายสัมพันธมิตรบังคับให้ยุบกองกำลังทางทหารทั้งหมด จึงทำให้ตำรวจมีกองกำลังเพียงอย่างเดียวคือกอง กำลังตำรวจ เท่านั้นที่ติดอาวุธเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ซึงต่อมาก็ได้มีการจัดตั้ง National Police Reserve หรือ กองกำลังตำรวจติดอาวุธแห่งชาติ ซึ่งต่อมากองกำลังนี้จะพัฒนาเป็นกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินต่อไป
เมื่อสหภาพโซเวียตได้ยึดเอาเกาะที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของญี่ปุ่น ทางตอนเหนือของฮอกไกโด และเกาะซาฮาริ (แซกคาริน) ไปและตั้งกองกำลังขึ้นบนเกาะ ทางการญี่ปุ่นจึงต้องจัดหารถถังเพื่อป้องกันตัวเองจากรถถัง T-44 (ผลิตในปี 1944) ของสหภาพโซเวียตในสมัยนั้น
ในปี 1950 ทางกองกำลังป้องกันตนเอง และบริษัทมิซูบิชิ ได้เริ่มมีโครงการที่จะพัฒนารถถังของตนเพื่อทดแทน M4A3E8 สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ให้ไว้จำนวนหนึ่ง
และเนื่องด้วยว่าตอนนั้น ทางโรงงานของ มิซูบิชิ กำลังอยู่ในช่วงเวลาของการฟื้นตัว การผลิตเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก ทางการญี่ปุ่นจึงมีทางเลือก 3 ทางคือ สร้างรถถังใช้เอง ไม่ก็ต้องนำเข้ารถถัง M-47 Patton (ผลิตในปี 1954) จากสหรัฐอเมริกาหรือ จะอัพเกรด M4 ที่มีอยู่
โดยเมื่อคิดคำนึงถึงการขนส่งและอื่นๆแล้ว ญี่ปุ่นกลับพบว่าหากซื้อรถถัง M-47 จากสหรัฐจะมีปัญหายุ่งยากกว่า เพราะรางรถไฟของญี่ปุ่นนั้นใช้ความกว้างรางแบบ เคป เกจ (Cape gauge) ขนาดความกว้างราง 1.067 เมตร (3 ฟุต 6 นิ้ว) ทำให้ไม่สามารถบรรทุกสิ่งของที่กว้างกว่า 3 เมตรได้ ในขณะที่รถถถัง M-47 Patton มีขนาดความกว้างถึง 3.52 เมตร ย่อมจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการขนส่งทางรถไฟไปยังภูมิภาคต่างๆ ประกอบกับทางรถไฟของญีปุ่นยังไม่ทันสมัยในยุคนั้น ซึ่งรองรับน้ำหนักของสิ่งที่บรรทุกได้ไม่เกิน 35 ตัน การสั้งซื้ออรถถังขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อต้องข้ามสะพานหรือ ลอดอุโมงค์ได้ การสั้งซื้อรถถัง M-47 Patton จึงต้องตัดออกไป
และแล้วในที่สุดทางการญี่ปุ่นก็ได้กำหนดคุณลักษณะของรถถังใหม่ของพวกเขา
- 1. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้รถถังจำนวนน้อยแต่สามารถปฏิบัติงานครอบคลุมพื้นที่ได้มาก ดังนั้นขนาดและน้ำหนักของตัวรถต้องเบาเพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายโดยทางรถไฟได้.
- 2. น้ำหนักควรจะไม่เกิน 25 ตันตราบเท่าที่ความหนาของเกราะจะเอื้ออำนวย
- 3. ปืนใหญ่ต้องเป็นปืน 90.มม. ซึ่งถือว่าเป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดของรถถังนาโต้ในยุคนั้น
โดยในการพัฒนานั้น ทางมิซูบิชิได้ทำการศึกษารถถังหลายๆแบบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น M-46 Patton ซึ่งถือเป็นต้นแบบของ M-47 Patton และได้นำรถถัง T-34 ซึ่งเป็นต้นแบบของ T-44 ของสหภาพโซเวียตมาวิเคราะห์ส่วนประกอบเพื่อพัฒนารถถังของตนเอง
จากการวิเคราะห์พบว่า T-34 นั้นมีระบบอำนวยการรบที่ยังล้าสมัยมากพอสมควร และไม่มีระบบการสื่อสารที่เพียงพอ ใช้กำลังพลเยอะไปในการทำให้รถปฏิบัติ (ต้องใช้พลประจำรถถึง 5 นายต่อการปฏิบัติงานในรถถัง T-34) ในขณะที่ T-44 ของสหภาพโซเวียตนั้น สำนักออกแบบ KMBD ของสาธารณรัฐยูเครน แห่งสภาพโซเวียต ได้ออกแบบระบบภายในใหม่โดย T-44 จะลดกำลังพลในรถลง 1 นาย T-44 ซึ่งเป็นภัยคุกคามจึงใช้กำลังพลเพียง 4 นายเท่านั้น
ทาง Mitsubishi Heavy Industries จึงได้ทำการออกแบบรถถังใหม่ ให้มีข้อดีของ T-34 ที่มีน้ำหนักเบา และผลิตได้ง่ายและมีเกราะลาดเอียงกับช่วงล่างกันกระเทือนของ M46 Patton มาทำการปรับปรุงใช้จนเกิดเป็นรถถังของตนเอง และนี่คือเรื่องราวการพัฒนาของมัน
STA-1 (Mitsubishi Type 61 Prototype)
ปลายปี 1956 มิซูบิชิก็พัฒนาตัวต้นแบบสำเร็จโดยให้รหัสว่า STA-1 ซึ่งได้สร้างตามข้อกำหนดที่ ทาง JDSF ร้องขอ ซึ่งเครืองยนต์ของมันใหญ่มาก ทำให้ต้องย่อฐานป้อมปืนให้เตี้ยลง เพื่อไม่ให้ความสูงเลยจากมาตรฐานที่กำหนดไว้ ทำให้เครืองยนต์ดูเหมือนจะโป่งขึ้นมาดังภาพ และล้อของคันต้นแบบ 7 ช่วงล้อ ถือว่ายาวมากๆ โดยรวมแล้ว STA-1 มีขนาดใหญ่ไปและยังมีจุดบกพร่องอีกมาก ทำให้ทางมิซูบิชิต้องทำการแก้ไขมันอีกครั้ง
STA-2 (completed in February 1957)
STA-2 (Mitsubishi Type 61 Prototype)
STA-2 ถูกสร้างขึ้นโดยใช้โครงสร้างตัวเดียวกันกับ STA-1 โดยนำ STA-1 มาตัดดัดแปลงให้มีขนาดเล็กลง โดย STA-2 ถูกตัดลำตัวให้สั้นลง และช่วงบนที่แบนขึ้น JDSF ได้ทำการประเมิน ข้อมูลการรบในสถาณการณ์จำลองของ ตัวแบบทั้งสองรุ่น ก็พบว่า สภาพภูมิประเทศที่เป็นทุ่งข้าว และดินอ่อนของเขานั้นไม่เหมาะสำหรับ รถถังที่เทะทะอย่าง STA-1 จึงได้แจ้งให้บริษัท มิซูบิชิทำการพิจรณาเพื่อหาทางแก้ไข จึงเป็นที่มาของโปรโตไทป์ตัวต่อไป
STA-3 (completed in January 1958)
Mitsubishi สร้างตัวต้นแบบ (prototype) STA-3 จากพื้นฐานของ STA-2 โดยติดตั้งระบบการโหลดกระสุนกึ่งอัตโนมัติ (semi-automatic loading system) เข้าไป และได้ติดตั้งปืนกล AA machine gun ลงไปบนป้อมปืน ของ STA-3 ที่ซึ่งสามารถสั้งงานได้ด้วย remote-controll อัตโนมัติ เมื่อทำการทดสอบจริง พบว่าอุปกรณ์อัตโนมัติที่พัฒนานั้น มีขีดจำกัดในการใช้งาน และการติดสิ่งเหล่านี้บนรถ ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ถึงต้องถูกตัดออก เมื่อสร้างตัวต้นแบบตัวถัดไป STA-4
STA-4 (completed in November 1959)
STA-4 ตัวต้นแบบตัวสุดท้าย ที่จะใกล้เคียงกับ รถถังที่จะได้เข้ารับการผลิตจริง
อุปกรณ์บางอย่างได้รับการยกเลิก มีการปรับปรุงเครืองยนต์เล็กน้อย ปืน AA machine gun ได้ถูกปิดผนึกไว้บนป้อมปืนขนาดเล็ก ที่ซ้อนป้อมปืนใหญ่รถถัง (คล้ายๆกับ M-60 Patton ที่เกิดขึ้นในยุคหลัง) เหนือป้อมปืนของรถ (แต่เมื่อทำการผลิตจริงออฟชั้นนี้ถูกตัดออก - อีกแล้ว)
หลังจากการพัฒนามานาน ได้รับการลองผิดลองถูก Mitsubishi Type 61 ก็ถูกผลิตเข้าประจำการ ในปี 1961 เพื่อป้องกันญี่ปุ่นในกองกำลังป้องกันตนเอง โดยรวมแล้ว Mitsubishi Type 61 ถูกสร้างขึ้นมาจำนวนมากถึง 560 คัน เพื่อประจำการในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว (ญีปุ่นส่งออกอาวุธไม่ได้) และเป็นม้างานหลัก จนถูกม้าศึกตัวใหม่เข้าแทนที่ซึ่งก็คือ Type 74 Nana-Yon ที่มีความทันสมัยกว่าเข้ามารับไม้ต่อ
ข้อมูลจำเพาะ
- ประเทศผู้ผลิต ญี่ปุ่น
- ปีที่ใช้งาน 1962
- เจ้าหน้าที่ 4 นาย
- หน้ก 35,000 กิโลกรัม/34.4 ต้น
- ยาว 8.19 เมตร
- สูง 2.49 เมตร
- กว้าง 2.95 เมตร
- เกราะหนาที่สุด 64 มม./ 2.52 นิ้ว
- เครื่องยนต์ ดีเซล มิตซูบิชิ เอชเอ็ม 21 ดับลิว ทีให้กำลัง 600 แรงม้า
- ความเร็ว 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- รัศมีทำการ 200 กิโลเมตร
- อาวุธ
- อาวุธหลัก ปืนใหญ่ ขนาด 90 มม./3.54 นิ้ว
- อาวุธรอง ปืนกล ขนาด 7.62 มม./0.3 นิ้ว และ 12.7 มม./0.5 นิ้ว อย่างละ 1 กระบอก
อ้างอิง
- George Forty & Jack Livesey,the World Encyclopedia of Tanks,Anness,2006