กฎของทีทซีอุส–โบเดอ
กฎของทีทซีอุส–โบเดอ (อังกฤษ: Titius–Bode law) หรือบางแห่งเรียกว่า กฎของโบเดอ คือสมมุติฐานเกี่ยวกับวงโคจรของวัตถุทางดาราศาสตร์ที่ค่ากึ่งแกนเอกต่าง ๆ กันกับดวงอาทิตย์ ว่ามีความสัมพันธ์ในลักษณะเอกซ์โพเนนเชียลตามลำดับของดาวเคราะห์ ได้รับการเสนอขึ้นใน ค.ศ. 1766 โดยโยฮัน ดานีเอล ทีทซีอุส นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน และต่อมาโยฮัน เอเลิร์ท โบเดอ ได้นำมาสรุปเป็นกฎขึ้น ในภายหลังสมมุติฐานนี้ไม่เป็นที่ยอมรับเมื่อการทำนายวงโคจรของดาวเคราะห์ผิดพลาดไปนับแต่การค้นพบดาวเนปจูนใน ค.ศ. 1846
สมการ
สมการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างค่ากึ่งแกนเอก (a) ของดาวเคราะห์แต่ละดวงไล่ลำดับออกไปจากดวงอาทิตย์ เช่น ค่ากึ่งแกนเอกของโลกเท่ากับ 10 จะได้ว่า
โดยที่ n = 0, 3, 6, 12, 24, 48 ..., ตามลำดับของดาวเคราะห์นับจากด้านใน (ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด) ไล่ออกไปด้านนอก ตัวเลขแต่ละลำดับที่ จะมีค่าเป็นสองเท่าของตัวเลขก่อนหน้า ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อหารด้วย 10 จะแปลงเป็นหน่วยดาราศาสตร์ ทำให้ได้สมการต่อไปนี้
- = 0.4 + 0.3 · 2 m
โดยที่ m = , 0, 1, 2,...[1]
สำหรับดาวเคราะห์รอบนอก ดาวแต่ละดวงได้รับการ "ทำนาย" ว่าอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะประมาณ 2 เท่าของวัตถุรอบในดวงก่อนหน้า
ข้อมูล
ระยะห่างของดาวเคราะห์ที่ได้จากการคำนวณตามกฎนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับระยะห่างจริง เป็นดังนี้
ดาวเคราะห์ | k | ระยะห่างตามกฎ | ระยะห่างจริง |
---|---|---|---|
ดาวพุธ | 0 | 0.4 | 0.39 |
ดาวศุกร์ | 1 | 0.7 | 0.72 |
โลก | 2 | 1.0 | 1.00 |
ดาวอังคาร | 4 | 1.6 | 1.52 |
ซีรีส1 | 8 | 2.8 | 2.77 |
ดาวพฤหัสบดี | 16 | 5.2 | 5.20 |
ดาวเสาร์ | 32 | 10.0 | 9.54 |
ดาวยูเรนัส | 64 | 19.6 | 19.2 |
ดาวเนปจูน | 128 | 38.8 | 30.06 |
ดาวพลูโต1 | 256 | 77.2 | 39.44 |
1 ซีรีส นับเป็นดาวเคราะห์อยู่ในช่วง ค.ศ. 1801 จนถึงราวคริสต์ทศวรรษ 1860 พลูโตนับเป็นดาวเคราะห์อยู่ระหว่าง ค.ศ. 1930–2006 ร่างข้อกำหนดของสหภาพดาราศาสตร์สากลว่าด้วยการจัดประเภทของ "ดาวเคราะห์" จะทำให้ซีรีส ได้รับการจัดประเภทใหม่เป็นดาวเคราะห์ แต่จากการปรับปรุงข้อกำหนดในตอนปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2006 ทำให้ซีรีส พลูโต และเอริส ได้รับการจัดประเภทใหม่กลายเป็น "ดาวเคราะห์แคระ"
คำอธิบาย
กฎของทีทซีอุส–โบเดอยังไม่มีคำอธิบายใดที่เชื่อถือได้ แต่มีสิ่งที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งคือการสั่นพ้องของวงโคจรรวมกับการสั้นลงขององศาอิสระ : ระบบดาวเคราะห์ใด ๆ ที่เสถียรจะมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีความสัมพันธ์ไปตามกฎของทีทซีอุส–โบเดอ อย่างไรก็ตามอลัน บอส นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ กล่าวว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ และวารสารวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ Icarus ไม่ยอมรับที่จะตีพิมพ์กฎที่ปรับปรุงนี้[2]
การสั่นพ้องของวงโคจรจากวัตถุที่โคจรหลักจะสร้างบริเวณรอบดวงอาทิตย์ที่ปราศจากวงโคจรที่เสถียร ผลจากแบบจำลองการกำเนิดระบบสุริยะสนับสนุนแนวคิดที่ระบบดาวเคราะห์จะเลือกรัศมีวงโคจรที่เสถียรแบบสุ่มจะมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามกฎของทีทซีอุส–โบเดอ
ดูบรูลและแกรเนอร์[3][4]แสดงให้เห็นว่ากฎกำลังสองผกผันตามระยะทางจะมีผลลัพธ์ของแบบจำลองการยุบตัวของกลุ่มเมฆของระบบดาวเคราะห์มีแนวโน้มที่จะสมมาตรสองแกน : การหมุนคงที่ (เมฆจะสมมาตรตามแกน) สเกลคงที่ (เมฆจะมีสเกลตามความยาวเท่ากันหมด), อันหลังเป็นโครงหลักของหลายปรากฏการณ์ มีบทบาทในการเกิดระบบสุริยะ
อ้างอิง
- ↑ "Debris & Formation" (PDF). Wartburg College. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-03-27. สืบค้นเมื่อ 2007-11-08.
- ↑ Boss, Alan (October 2006). "Ask Astro". Astronomy. Vol. 30 no. 10. p. 70.
- ↑ "Titius-Bode laws in the solar system. Part I: Scale invariance explains everything". F. Graner, B. Dubrulle Astronomy and Astrophysics 282, 262-268 (1994).
- ↑ "Titius–Bode laws in the solar system. Part II: Build your own law from disk models",B. Dubrulle, F. Graner Astronomy and Astrophysics 282, 269-276 (1994).