ดีดีเย ดรอกบา
ข้อมูลส่วนตัว | |||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | ดีดีเย อีฟว์ ดรอกบา เตบีลี[1] | ||||||||||||||||||
วันเกิด | [2] | 11 มีนาคม ค.ศ. 1978||||||||||||||||||
สถานที่เกิด | อาบีจาน ประเทศโกตดิวัวร์ | ||||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.88 เมตร (6 ฟุต 2 นิ้ว)[3] | ||||||||||||||||||
ตำแหน่ง | กองหน้าตัวเป้า | ||||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | |||||||||||||||||||
Dunkerque | |||||||||||||||||||
1988–1989 | Tourcoing[4] | ||||||||||||||||||
1989–1991 | อาเบอวีล | ||||||||||||||||||
1991–1993 | วาน | ||||||||||||||||||
1993–1997 | เลอวารัว | ||||||||||||||||||
1997–1998 | เลอม็อง | ||||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | |||||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | ||||||||||||||||
1998–2002 | เลอม็อง | 64 | (12) | ||||||||||||||||
2002–2003 | แก็งก็อง | 45 | (20) | ||||||||||||||||
2003–2004 | มาร์แซย์ | 35 | (19) | ||||||||||||||||
2004–2012 | เชลซี | 254 | (104) | ||||||||||||||||
2012–2013 | เซี่ยงไฮ้เชินฮวา | 11 | (8) | ||||||||||||||||
2013–2014 | กาลาทาซาไร | 37 | (15) | ||||||||||||||||
2014–2015 | เชลซี | 28 | (4) | ||||||||||||||||
2015–2016 | มอนทรีออลอิมแพกต์ | 33 | (21) | ||||||||||||||||
2017–2018 | ฟีนิกซ์ไรซิง | 22 | (14) | ||||||||||||||||
รวม | 497 | (210) | |||||||||||||||||
ทีมชาติ | |||||||||||||||||||
2002–2014 | โกตดิวัวร์ | 105 | (65) | ||||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| |||||||||||||||||||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
ดีดีเย อีฟว์ ดรอกบา เตบีลี (ฝรั่งเศส: Didier Yves Drogba Tébily, ออกเสียง: [didje dʁɔɡba]; เกิดเมื่อ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978) เป็นอดีตนักฟุตบอลของเชลซีในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เคยเป็นกัปตันทีมชาติโกตดิวัวร์และยังเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูสูงสุดในทีมชาติที่ 65 ประตู รวมถึงเป็นนักเตะผู้ทำประตูสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2006-2007 ด้วยจำนวน 20 ประตู (33 ประตูถ้ารวมทุกการแข่งขัน) และเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2009-2010 ด้วยจำนวน 29 ประตู
ดีดีเย ดรอกบา เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ทำประตูในสนามเวมบลีย์ จากการยิงประตูให้เชลซีเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยคะแนน 1-0 ดรอกบาย้ายจากออแล็งปิกเดอมาร์แซย์มาร่วมทีมเชลซีช่วงกลางปี 2004 แม้ปัญหาอาการบาดเจ็บจะรบกวนเขาบ่อยครั้งในฤดูกาลแรกแต่ดรอกบาก็ยังทำประตูได้ถึง 16 ครั้งรวมทุกรายการหนึ่งในนั้นเป็นประตูในนัดชิงชนะเลิศคาร์ลิงคัพ
อาชีพนักฟุตบอล
ฤดูกาล 2005/06 ดรอกบาทำได้ 16 ประตูอีกครั้ง ในจำนวนนั้น 12 ประตูเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกและช่วยให้เชลซีป้องกันแชมป์ไว้ได้ แต่ก่อนที่เชลซีจะป้องกันแชมป์ได้นั้น ดรอกบาถูกกล่าวหาอย่างหนักถึงการพุ่งล้มหลังจากสองเกมปัญหาที่เขาใช้มือเล่นบอล แต่ดรอกบาสามารถสยบเสียงวิจารณ์ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในเกมกับเวสต์แฮมเมื่อเดือนมีนาคมปี 2006 เชลซีที่กำลังตามหลังอยู่ทั้งประตูและจำนวนผู้เล่นพลิกกลับมาเอาชนะไปได้ 4-1
ในฤดูกาลต่อมาดรอกบาทำได้ถึง 33 ประตูซึ่งเป็นการที่ยิงในพรีเมียร์ลีก 20 ลูก ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีกไปครอง ดรอกบายังสร้างสถิติลงสนามมากที่สุดในฤดูกาลเดียวที่ 60 นัดมากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สโมสร เขาจบฤดูกาลด้วยการยิงประตูแรกของสโมสรในนิวเวมบลีย์ให้เชลซีเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 2007 ฤดูกาล 2007/08 ดรอกบาโดนอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ารบกวนและต้องลงเล่นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติในแอฟริกา ทำให้เขาจบฤดูกาลด้วยการยิงได้เพียง 15 ประตู หนึ่งในนั้นคือการยิงสเปอส์ที่นิวเวมบลีย์ในนัดชิงชนะเลิศคาร์ลิงคัพที่เชลซีแพ้ไป ดรอกบายิงลิเวอร์พูลถึง 2 ประตูที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ และจบทัวร์นาเมนต์นั้นด้วยใบแดงในนัดชิงชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
การมาของผู้จัดการทีมใหม่อย่างลูอิส เฟลีปี สโกลารี ในฤดูกาล 2008/09 มาพร้อมกับความคาดหวังที่จะทำให้เกมรุกของเชลซีมีคุณภาพขึ้น แต่ดรอกบายังคงถูกรบกวนจากอาการบาดเจ็บ ทำให้เล่นไม่ได้อย่างที่เคย แม้จะทำประตูเบิร์นลีย์ได้ในคาร์ลิงคัพ เขากลับโดนลงโทษห้ามแข่งถึงสามนัดจากการฉลองประตูที่ไม่เหมาะสม เมื่อกุส ฮิดดิงค์เข้ามาคุมทีมตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ดรอกบาก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้งด้วยการทำประตูสำคัญให้ทีมหลายครั้ง แต่ก็ต้องพบกับเหตุการณ์พลิกผันอีกครั้งในเกมแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศกับบาร์เซโลนา หลังจากเชลซีตกรอบด้วยประตูในช่วงทดเวลาของอีเนียสตา ดรอกบาแสดงความไม่พอใจคำตัดสินของทอม เฮนนิง โอเฟรโบ ทำให้ถูกลงโทษห้ามแข่งสามนัดในฤดูกาลหน้า ในนัดชิงเอฟเอคัพปีนั้น ดรอกบาทำประตูตีเสมอเอฟเวอตัน ซึ่งเป็นประตูที่ 4 ของเขาจาก 4 เกมในนิวเวมบลีย์
การทำคนเดียวสองประตูในนัดเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2009/10 เป็นสัญญาณที่ดีว่าดรอกบาน่าจะรักษาฟอร์มการเล่นจากช่วยท้ายฤดูกาลก่อนไว้ได้ การ์โล อันเชลอตตีวางแทกติกให้ดรอกบาและอาแนลกาได้เล่นคู่กัน ทำให้เขายิงได้ถึง 18 ประตูจาก 21 เกมในช่วงคริสต์มาส และจบฤดูกาลด้วยจำนวน 37 ประตูรวมทุกรายการ ช่วยให้เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและดรอกบาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำไปครอง ประตูชัยของเขาในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศยังช่วยให้เชลซีคว้าดับเบิลแชมป์ฟุตบอลลีกและถ้วยได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ดรอกบายังได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลโดยแฟนบอลอีกด้วย
ดรอกบาเริ่มต้นค้าแข้งในดิวิชัน 2 ของลีกฝรั่งเศสกับทีมเลอม็อง ก่อนที่จะย้ายขึ้นมาเล่นในดิวิชัน 1 กับทีมแก็งก็อง จากนั้นออแล็งปิกเดอมาร์แซย์คว้าตัวดรอกบาไปร่วมทีมและเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการทำ 18 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก ยิ่งไปกว่านั้นดรอกบายังยิงในยูฟ่าคัพอีก 6 ประตู ทำให้มูรีนโยวางตัวดรอกบาเป็นเป้าหมายหลักในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะกลางปี และก็คว้าตัวเขามาได้สำเร็จ
ดรอกบาลงเล่นทีมชาติครั้งแรกในปี 2002 เขานำทีมชาติโกตดิวัวร์เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2006 ในฐานะกัปตันทีมและต่อด้วยครั้งที่ 2 ในปี 2010 แม้ดรอกบาจะทำประตูได้ทั้งสองครั้ง แต่ทีมชาติของเขาก็ไม่สามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ ในการแข่งขันระดับทวีป โกตดิวัวร์ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยแพ้อียิปต์ในการดวลจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 2006 คว้าอันดับ 4 ในปี 2008 ที่กานา และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 2010
ในช่วงปี 2012 เชลซีได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบชิงชนะเลิศกับบาเยิร์นมิวนิก โดยเขาเป็นฮีโร่โขกทำประตูให้ทีมในนาทีที่ 88 ซึ่งช่วยทำให้เชลซีตีเสมอบาเยิร์นมิวนิก 1-1 (หลังผ่าน 120 นาที) จึงได้ดวลจุดโทษตัดสิน ปรากฏว่า เขายิงเป็นคนสุดท้ายช่วยให้ทีมเชลซีชนะจุดโทษด้วยผล 4-3 จึงคว้าแชมป์มาได้ ซึ่งเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา ซึ่งดรอกบาก็ถูกโหวตให้เป็น ยูฟ่าแมนออฟเดอะแมตช์ ในการแข่งขันฤดูกาล 2011-2012
ดรอกบาได้ย้ายไปเล่นให้กับกาลาทาซาไรในซือเปร์ลีก ตุรกี เป็นระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่ก่อนเปิดฤดูกาล 2014-15 ได้ถูกเรียกตัวจากโชเซ มูรีนโย ให้กลับมายังเชลซีในตำแหน่งกองหน้าอีกครั้ง แม้อายุจะมากแล้วถึง 35 ปีก็ตาม [5]
หลังจบฤดูกาล 2014-15 ดรอกบาได้ตกลงเซ็นสัญญาหนึ่งปีกับมอนทรีออลอิมแพกต์ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ สหรัฐอเมริกา[6]
หลังจบฤดูกาล 2015-16 ดรอกบาได้ใช้เวลา 18 เดือนสุดท้ายในอาชีพของเขากับฟีนิกซ์ริ่งที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นสโมสรที่เขาเป็นเจ้าของเอง ดร็อกบาเกือบจะคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย USL Cup เป็นการปิดฉาก แต่ทีมตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศต่อหลุยส์วิลล์ ซิตี้ 1-0 พลาดแชมป์ปิดฉากไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนที่ดรอกบาได้ประกาสแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ในวัย 40 ปี[7]
เกียรติประวัติ
เชลซี
- แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 4 สมัย : 2004-05, 2005-06, 2009-10, 2014-15
- แชมป์เอฟเอคัพ 4 สมัย : 2006-07, 2008-09, 2009-10, 2011-12
- แชมป์ลีกคัพ 3 ครั้ง : 2004-05, 2006-07, 2014-15
- แชมป์คอมมิวนิตีชีลด์2 สมัย : 2005, 2009
- แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย : 2011-12
กาลาตาซาราย
- เทอร์กิชซูเปอร์ลีก 1 สมัย : 2012-2013
- เทอร์กิชซูเปอร์คัพ 1 สมัย : 2013
- เทอร์กิชคัพ 1 สมัย : 2013-14
ส่วนตัว
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกเอิง ฝรั่งเศส 1 สมัย : 2003-04
- นักฟุตบอลแอฟริกันยอดเยี่ยมแห่งปี 2 สมัย : 2006, 2009
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทีมชาติไอวอรีโคสต์ 3 สมัย : 2006, 2007, 2012
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรฟุตบอลเชลซี 1 สมัย : 2010
- รองเท้าทองคำ(พรีเมียร์ลีก) 2 สมัย : 2006-07, 2009-10
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของซุปเปอร์ลีก ตุรกี 1 สมัย : 2013
- ผู้เล่นที่ได้เข้าสู่หอเกียรติยศพรีเมียร์ลีก หอเกียรติยศพรีเมียร์ลีก : 2022
อ้างอิง
- ↑ "Didier Yves Drogba Tébily – Century of International Appearances". rsssf.com. สืบค้นเมื่อ 9 May 2019.
- ↑ ดีดีเย ดรอกบา ที่สารานุกรมบริตานิกา
- ↑ "Montreal Impact profile". Montreal Impact. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 January 2016. สืบค้นเมื่อ 25 October 2015.
- ↑ "Histoire Palmares". Footeo.com. Retrieved 28 August 2018
- ↑ "เบื้องหลังสาเหตุ มูรินโญ่ จึงซิว ดร็อกบา". สยามสปอร์ต. 28 กรกฎาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2015-07-27.
- ↑ "Didier Drogba joins MLS side Montreal Impact". BBC Sport. 27 กรกฎาคม 2015.
- ↑ https://www.skysports.com/football/news/11095/11548825/didier-drogba-retires-with-defeat-in-usl-cup-final
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์ทางการของดีดีเย ตรอกบา – ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส
- สถิติของ ดีดีเย ดรอกบา ที่ Soccerbase
- ข้อมูลของ ดีดีเย ดรอกบา ที่ ซ็อกเกอร์เวย์
- BBC World Service: African Footballer of the Year 2008
- Profile at SoccerSurfer.com
- ESPN Profile