อี มย็อง-บัก

อี มย็อง-บัก
이명박
ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการ พ.ศ. 2551
ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ คนที่ 10
ดำรงตำแหน่ง
25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ก่อนหน้าโน มูฮยอน
ถัดไปพัก กึน-ฮเย
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด19 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (82 ปี)
เกาหลีใต้,ญี่ปุ่น
ศาสนาศาสนาคริสต์-เพรสไบทีเรียน
พรรคการเมือง한나라당
คู่สมรสคิม ยุน-อก
ลายมือชื่อ
อี มย็อง-บัก
ฮันกึล이명박
ฮันจา李明博
อักษรโรมันฉบับปรับปรุงI Myeongbak

อี มย็อง-บัก (เกาหลี이명박; ฮันจา李明博; อาร์อาร์I Myeongbak; เอ็มอาร์Yi Myŏng-bak) เกิดวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และเป็นอดีตนายกเทศมนตรีโซล

การดำรงชีวิตและการศึกษาช่วงเริ่มแรก

อี มย็อง-บักเกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ที่เขตฮิระโนะ เมืองโอซะกะ ประเทศญี่ปุ่น ในที่ที่บิดาของเขาทำงานเป็นเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเขาและครอบครัวจึงอพยพกลับมาประเทศเกาหลี

ปัจจุบันอี มย็อง-บัก ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 10 นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก่อนหน้านั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการโซลและปัจจุบันเขาได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองแห่งชาติ (The Grand National Party)

อี มย็อง-บักเกิดในย่านชาวเกาหลีที่ตำบลนากาคาวะชิ-คุน (Nakakawachi-kun) ที่ทำการเขตเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน ฮิราโนะ-คุ (Hirano-ku) เมืองโอซากา ในใบแจ้งเกิดชื่อภาษาญี่ปุ่นของเขาคือ สึกิยะมะ อะกิฮิโระ (ญี่ปุ่น: 月山 明博โรมาจิTsukiyama Akihiroทับศัพท์:  つきやま あきひろ)[1] ในขณะนั้นพ่อของเขานายลีชางวู (이충우) ทำงานอยู่ที่ฟาร์มปศุสัตว์ในญี่ปุ่น ส่วนแม่ของเขานางแชแทวอน . เป็นแม่บ้านผู้เคร่งครัดในคริสต์ศาสนา นายอี มย็อง-บักมีพี่น้องผู้ชาย 3 คนและพี่น้องผู้หญิง 3 คน เขาเป็นลูกคนที่ 5 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 ครอบครัวของเขาได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดของผู้เป็นพ่อที่ เมืองโปฮาง จังหวัดกยองซางบุก (Po-hang, Gyeongsangbuk-Do) ประเทศเกาหลีใต้[2][3]

อย่างไรก็ตามก็ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเนื่องจากสงครามเกาหลีในขณะนั้น 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลงเนื่องจากสงครามที่เกาหลีเหนือบุกรุกเกาหลีใต้ ครบครัวของเขาจึงได้ย้ายไปอาศัยอยู่ของที่โบสถ์ร้างแห่งหนึ่ง ด้วยความที่ครอบครัวของเขายากจน ที่โรงเรียนนายลีจึงไม่สามารถที่ฝันถึงอาหารกลางวันที่ดีๆ ซึ่งมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อตอนที่ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งพ่อของเขาสามารถที่จะส่งเงินกลับมาที่บ้านและยังให้พี่น้องคนอื่นๆมาเรียนที่ญี่ปุ่นได้อีกด้วย

กระนั้นนายอีได้เรียนรู้ประสบการณ์อันมีค่าจากการทำงานหนักตั้งแต่ยังเล็ก ในเวลานั้นเขาจบจากชั้นประถมศึกษาเขาก็ทำงานทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ เขาขายไม้ขีดไฟ ขาย คิมบับ (เขาใช้คำว่า rice rolls ซึ่งน่าจะหมายถึงคิมบับ) หน้ากองทัพบก และขายเค้กจนกระทั่งเขาถูกจับโดยเจ้าหน้าที่ทางทหาร และเมื่อเขาอยู่มัธยมต้นเขาก็ยังคงทำงานหนักต่อไปเพื่อเลี้ยงชีวิต

ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น การศึกษาระดับสองจะได้รับสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ที่ถูกเลือกเพียงสองสามคนเท่านั้น อย่างในครอบครัวใหญ่เช่นครอบครัวอี พี่ชายของประธานาธิบดีอีนั้นเป็นความหวังของครอบครัวเลย ความมุ่งหวังแบบนี้จะเกิดขึ้นเสมอๆจากบรรดาญาติพี่น้องผู้ซึ่งเสียสละโอกาสทางการศึกษาของพวกเขาเพื่อสนับสนุนให้พี่หรือน้องได้รับการเรียนการสอนในโรงเรียน สำหรับประธานาธิบดีอีนั้นแทนที่เขาจะไปศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย เขากลับวางแผนช่วยแม่ของเขาขายขนมปังทั้งนี้เพื่อที่จะได้หาเงินตามคำอบรมสั่งสอนของพ่อของเขา

อย่างไรก็ตาม ครูของเขาแนะนำให้เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนพาณิชย์ดองจิ (Dongji Commercial High School) ใน โปฮาง (Pohang) ด้วยทุนตลอดการศึกษา ด้วยการเลือกเรียนภาคค่ำเพื่อที่ตอนกลางวันเขาจะได้ทำงานแล้วกลางคืนก็ไปเรียน

1 ปีหลังจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย ประธานาธิบดีอีได้สอบเข้าศึกษาต่อใน Korea University. ปี 1964 ในขณะที่เขากำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 ในวิทยาลัยนั้นเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานสภานักศึกษา ประธานาธิบดีอีหวนคิดถึงงานแปลก ๆ ทั้งหลาย ในอัตชีวประวัติของเขา ว่า “มันไม่ใช่นิยาย” ที่ทำให้เขาได้จบวิทยาลัยได้ด้วยตัวเขาเอง ในปีนั้นเองประธานาธิบดีอีได้ร่วมกับนักศึกษาเดินขบวนประท้วงประธานาธิบดีปาร์กชุงฮี (Park Chung-hee's) ในการเจรจา โซล-โตเกียว เขาถูกจับในฐานกบฏและถูกตัดสินลงโทษลงอาญา 5 ปี จำคุกอีก 3 ปี โดยศาลฎีกาเกาหลี เขาจำคุกเพียงสามเดือน ที่เรือนจำโซแดมุน (서대문 , 형무소) ในโซล [4] ในปีนั้นมีการเดินขบวนสนันสนุนประชาธิปไตยโดยนักเรียนนักศึกษากันอย่างกว้างขวางรวมไปถึงประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจา โซล-โตเกียว ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนในการก่อสร้างจำนวนมหาศาล เขาได้นำขบวนนักศึกษาเข้าร่วมประท้วงกว่า 12,000 คน จากโซล ใน เดือน มิถุนายน ปี ค.ศ. 1964 และเขาได้ถูกจำคุกที่เรือนจำโซแดมุน (Seodaemun) จากการถูกจับกุมในข้อหากบฏ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ได้กลายมาเป็น “คนรุ่นแรกผู้บุกเบิกการปกครองระบบประชาธิปไตย” ('1st generation of democratization') ประธานาธิบดีลีแต่งงานกับนางคิมยุน-อก (김윤옥) มีลูกสาวด้วยกัน 3 คน และ ลูกชาย 1 คน ประธานาธิบดีลีได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่าเป็นคริสเตียนที่โบสถ์โซมางเพรสไบทีเรียน (Somang Presbyterian Church) ในโซล

งานด้านธุรกิจ

อี มย็อง-บักเริ่มทำงานกับบริษัท ฮุนไดเมื่อปี ค.ศ. 1965 (ในขณะนั้นจะรู้จักในนามของบริษัทขนาดกลางที่เรียกว่าบริษัทก่อสร้างฮุนได) ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อสร้างส้นทางหลักสาย ปัตตานี- นราธิวาสในประเทศไทย และเป็นบริษัทแรกของเกาหลีที่มีโปรเจกต์ข้ามชาติด้วยงบประมาณ 5.2 US$ ถึงแม้ว่า ลี จะเพิ่งเข้าทำงานกับบริษัทแต่เขาก็ถูกส่งตัวมาร่วมงานในโปรเจกต์นี้ด้วย โปรเจกต์นี้ได้ประสบความสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ในปี [ค.ศ. 1968] หลังจากนั้น ลี ก็กลับเกาหลีและได้รับหมอบหมายให้ดูแลเกี่ยวกับ Hyundai’s Heavey machinery plant. .ในโซล ซึ่งในช่วง 3 ปีที่เขาทำงานกับบริษัทในกลุ่ม ฮุนไดนั้น เขาได้รับสมญานามว่า รถปราบดิน ( Bulldozer ) นั่นก็เพราะว่า เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกล จนได้ค้นพบสาเหตุและวิธีแก้ปัญหาการชำรุดของเครื่องจักร ลี ได้เป็นผู้บริหารรของบริษัทนี้ตอนอายุ 29 ปี ซึ่งนั่นก็หลังจากที่เขาได้ร่วมงานกับบริษัทแค่ 5 ปีเท่านั้น และในปี ค.ศ 1988 เขาได้กลายเป็น CEO ที่มีอายุน้อยที่สุดในเกาหลีด้วยอายุเพียง 35 ปี และตอนอายุ 47 ปี เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท ก่อสร้างฮุนได หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการก่อสร้างเส้นทางหลักสาย ปัตตานี-นราธิวาส ได้ไม่นาน อุตสาหกรรมการก่อสร้างของเกาหลีก็ได้เริ่มเล็งเป้าหมายในการผลักดันความคิดสู่ตลาดใหม่ๆในต่างชาติ เช่น เวียดนาม และตะวันออกกลาง เนื่องจากอุปสงค์ของการก่อสร้างในเวียดนามในยุค 60 ได้ถดถอยลง บริษัทฮุนไดจึงหันเป้าหมายไปสู่ประเทศในตะวันออกกลางและบริษัทได้มีแนวโน้มในการพัฒนาให้เกิดโครงการเพื่อคุณภาพชีวิตในระดับนานาชาติ ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางเรือและการท่าเรือในแถบอาหรับ และการศึกษาด้านโรงแรมในประเทศบาเรน และยังมีโครงการเขตอุตสาหกรรมอ่าว Jubail ในซาอุดีอาระเบีย ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็น ยุคทองแห่งศรรตวรรษที่ 20 ซึ่งในการนั้น ได้มีการสั่งสินค้าจากเกาหลีเป็นจำนวนมากถึง 10 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ได้มีส่วนช่วยอย่างมากในด้านสภาวะน้ำมันขาดแคลน

ตอนที่เขาเริ่มงานที่ฮุนไดในปี ค.ศ. 1965 ในขณะนั้นมีพนักงานอยู่ 90 คน แต่เมื่อเขาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทผ่านไป 27 ปี ได้มีพนักงานเพิ่มมากกว่า 160,000 คน เขาทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ของเกาหลีใต้กับกลุ่ม USSR ให้เข้าสู่ภาวะปกติ นอกจากนั้นเขา ยังสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบรรดาผู้นำชาติต่างๆ รวมไปถึงอดีตนายกรัฐมนตรีลี กวนยู ของสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของประเทศกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด ของมาเลเซีย อดีตประธานาธิบดี เจียง ซีมิน ของจีน และอดีตผู้นำ มิคาอิล กอร์บาเชพ ของสหภาพโซเวียต หลังจากที่เขาทำงานกับฮุนไดเป็นเวลาถึง 27 ปี เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการเมือง

งานด้านการเมืองช่วงเริ่มแรก

ในปี ค.ศ. 1992 ลี ได้ย้ายจากเส้นทางธุรกิจสู่เส้นทางการเมือง เขาถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของการประชุมแห่งชาติเกาหลีครั้งที่ 14 ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเขาได้กล่าวว่า หลังจากที่เขาได้ดูการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลกของนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ เขาต้องการเห็นว่ามีอะไรที่เขาสามารถจะทำได้ หลังจากนั้น เขาก็ได้ออกร่างกฎหมายในไตรมาสที่ 2 ปี 1996 ในโซล สิ่งนี้ได้ถูกแสดงให้เห็นว่าเขาได้ทำอะไรมากมายในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งของเขา จากนั้นเขาจึงได้เกษียณตัวเองลงในปี 1998

หลังจากที่เขาได้ทำเงิน 7 ล้านวอนในการประกาศกฎการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2002 ลีได้ลงแข่งในสนามเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของโซล และเขาได้ชนะการเลือกตั้ง แต่อย่างไรก็ตามเขาเริ่มทำกิจกรรมการเลือกตั้งเร็วเกินไป ในระหว่างที่เขาครองตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องที่เขาบูรณะ “cheongyecheon” ซึ่งเป็นลำธารที่มีชื่อเสียงในโซล

ผู้ว่าการโซล

ชองเกชอนในยามค่ำคืน ถือเป็นผลงานอันโดดเด่นของนายลีในฐานะนายกเทศมนตรีของโซล ซึ่งเป็นการย้ายทางด่วนที่พาดผ่านใจกลางโซลและสร้างสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับสาธารณชนด้วยเงินกว่าหลายล้านเหรียญโดยใช้ชื่อว่า ชองเกชอน

ผลงานชิ้นเอกในระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีของโซลคือการฟื้นฟูชองเกชอน ด้วยความมุ่งมั่นของเขาสามารถทำให้แม่น้ำไหลผ่านใจกลางเมืองโซล และไม่เพียงเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันทันสมัยสำหรับ สาธารณชนเท่านั้นแต่ยังเป็นบ้านพักเชิงนิเวศน์ด้วย ชาวโซลไม่ใช่กลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวที่ชื่นชมนายลี

เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 เอเชียน ไทมส์ รายงานว่า “ครั้งหนึ่ง โซลเคยเป็นสัญลักษณ์ของป่าคอนกรีตแต่ปัจจุบันโซลประสบความสำเร็จในการผันเมืองให้เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเมืองอื่นๆในเอเชียด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” และมีรูปของนายลียืนในแม่น้ำชองเกชอน มากไปกว่านั้น เดือน ตุลาคม 2550 นายลีได้รับเลือกให้เป็น “ฮีโร่แห่งสิ่งแวดล้อม” จาก นิตยสาร ไทมส์ พร้อมกับอดีตรองประธานาธิบดีของสหรัฐ อเมริกา อัลเบอร์ต อาร์โนลด์ กอร์ จูเนียร์ โครงการอีกโครงการหนึ่งคือป่าแห่งโซล ซึ่งเปรียบเสมือนกับเซนทรัล ปาร์ค ในนครนิวยอร์กหรือ ไฮด์ ปาร์ก ในกรุงลอนดอน ป่าแห่งโซลคือการสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับประชาชนด้วยต้นไม้กว่า 400,000 ต้นและมีสัตว์กว่า 100 ชนิดรวมถึงกวางเล็กและกวางใหญ่ สวนแห่งนี้เปิดเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 หลังจากใช้ระยะเวลาในการสร้างเพียง 1 ปี พื้นที่ในส่วนของโซล ซิตี้ ฮอลล์ ไม่ต่างจากวงเวียนจราจรคอนกรีต แต่ในช่วงเวิลด์ คัพ ปี 2545 ได้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ส่วนนี้สามารถใช้เป็นพื้นที่ในการแสดงวัฒนธรรมที่เรียกว่า โซล พลาซา เดือนพฤษภาคม 2547 ได้มีการเปิดตัวพื้นที่สวนสาธารณะแห่งใหม่ ด้วยสนามหญ้าที่ชาวโซลสามารถใช้เป็นสถานที่เพื่อการพักผ่อนและแสดงผลงานทาง วัฒนธรรมได้

การเลือกตั้งประธานาธิบดี

10 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 นายลีได้ประกาศวัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการสำหรับการจัดตั้งพรรค แกรนด์ เนชั่นแนล ปาร์ตี้ ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 20 สิงหาคม 2550 เขาพ่ายแพ้ให้กับปัก กึน-เฮ สำหรับการคัดเลือกบุคคลเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 2550 ภายในพรรค แกรนด์ เนชั่นแนล ปาร์ตี้ สำหรับการคัดเลือกนั้นนายลีถูกกล่าวหาว่าได้เงินจากการปั่นราคาที่ดินของตนเองโดยผิดกฎหมายที่เขต ดูโกก ซึ่งเป็นเขตทีมีค่าครองชีพสูงของโซล สิงหาคม 2550 อัยการได้กล่าวในช่วงของการประกาศว่า “เราสงสัยในการอ้างสิทธิของน้องชายนายลีบนพื้นที่ของดูโกก ดอง แต่ยังไม่สามารถระบุถึงเจ้าของที่แท้จริงได้” 28 กันยายน พ.ศ. 2550 อัยการได้สรุบข้อสงสัยว่า ที่ดินในดูโกกนั้นอยู่ภายใต้ชื่อผู้เช่าและประกาศว่า “เราได้ทำการสอบสวนในทุกแง่มุมรวมถึงการตรวจสอบการซื้อขายที่ดิน และประวัติการโทรศัพท์และสามารถสรุปคดีนี้ได้” ธันวาคม พ.ศ. 2550 เพียงไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี นายลีได้ประกาศบริจาคทรัพย์สินของเขาทั้งหมดให้กับสังคม เป้าหมายของเขาได้แสดงออกมาในรูปแบบของ “แผน 747” ซึ่งรวมถึง การเติบโตของจีดีพี 7 เปอร์เซนต์ ด้วยรายได้ต่อหัว 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจะทำให้เกาหลีเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก ผลงานชิ้นสำคัญคือโครงการ แกรนด์ โคเรียน วอเตอร์เวย์ (한반도 대운하) จากเมืองปูซานถึงโซล ซึ่งเขาเชื่อว่าจะเป็นตัวฟื้นฟูเศรษฐกิจ คู่แข่งของเขาวิจารณ์ว่าโครงการนี้เกินจริงและมีราคาแพงเกินไปที่จะทำได้ ส่วนบางท่านกังวลว่าโครงการเช่นนี้จะทำลายสิ่งแวดล้อม

จากมุมมองของนายลีที่มีต่อเกาหลีเหนือ เขาได้ประกาศแผนที่ให้เกาหลีเหนือเข้ามามีส่วนร่วมโดยผ่านทางการลงทุน นายลีได้ให้สัญญาว่าจะจัดตั้งคณะที่ปรึกษากับทางเกาหลีเหนือเพื่ออภิปรายถึงการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ คณะที่ปรึกษาชุดนี้จะมีคณะที่ปรึกษาย่อยด้าน เศรษฐกิจ การศึกษา การเงิน โครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการและกองทุนรวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาได้สัญญาที่จะจัดทำข้อตกลงในการสร้างชุมชนเศรษฐกิจในเกาหลีเพื่อตั้งกรอบการทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นระบบสำหรับโครงการที่เกิดจากการเจรจา นายลียังได้เรียกร้องให้มีการรวมตัวกันของสำนักงานให้ความช่วยเหลือในเกาหลีเหนือเพื่อเป็นการช่วยเหลือทางด้านมนุษยชนเกี่ยวกับด้านนิวเคลียร์ นโยบายต่างประเทศของเขามีชื่อว่า หลัก เอ็มบี ซึ่งให้การสนับสนุน “ความร่วมมือ” ของเกาหลีเหนือและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างสหรัฐ อเมริกาและเกาหลี

หน้าที่เกี่ยวกับประธานาธิบดี

ลีได้จับมือร่วมกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ตั้งแต่ที่เค้ามาที่แคมป์ เดวิด แมรี่แลนด์ แห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551 ลีชนะการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2550 ด้วยเสียง48.7 เปอร์เซ็นจากคะแนนเสียงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ถือว่าต่ำสุดเท่าที่เคยมีมาของการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้ เขาได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับหมอบหมายเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 โดยได้ให้สัตย์สาบานว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา และต่อรองกับเกาหลีเหนือ ที่พิเศษไปกว่านั้น ลีประกาศว่าจะทำให้การรณรงค์ ความสัมพันธ์ด้านการทูตทั่วโลก รวมถึงการมองหาความร่วมมือทางการแลกเปลี่ยนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น จีน และรัฐเซีย มากไปกว่านั้น เขายังได้ให้คำมั่นว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้นโยบายที่เกี่ยวกับแนวคิดในการสนับสนุนเกาหลีเหนือเหมือนกับทฤษฎี MB ลีต้องการเริ่มจากการทำให้ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาดียิ่งขึ้นด้วยการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาทางตลาดเสรี หลังจากที่เค้าเข้ารับตำแหน่งได้สองเดือน คะแนนความชื่นชอบจากประชาชนในตัวเค้ามีถึง 28 เปอร์เซ็นต์ และในเดือนมิถุนายน 2551 เพิ่มขึ้นอีก 17 เปอร์เซ็นต์ บุชและลียังได้คุยกันถึงการอนุมัติเรื่องการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลี หรือที่เรียกว่า KORUS-FTA โดยส่งตัวแทนมาจากทั้งสองประเทศเพื่อเจรจากัน โดยการตกลงครั้งนี้ได้รับการคาดหวังไว้ว่าการห้ามส่งออกเนื้อวัวจะถูกยกเลิกและเข้าร่วมอยู่ใน KORUS FTA ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลเกาหลีได้ประกาศเตือนว่าผู้ที่ต่อต้านโดยใช้ความรุนแรงจะถูกลงโทษและมาตรการการปะทะระหว่างตำรวจและผู้ประท้วงได้ถูกนำมาใช้ และคนเกาหลีส่วนมากต้องการต่อต้านและตัดเส้นทางการนำเข้าเนื้อสัตว์จากสหรัฐอเมริกา ผู้ต่อต้านดำเนินการต่อเนื่องมากกว่า 2 เดือนและจุดประสงค์เดิมในการเฝ้าระวังการต่อต้านการนำเข้าเนื้อสัตว์จากอเมริกาได้ถูกแทนที่ด้วยการเผชิญหน้ากับผู้ประท้วงอย่างดุเดือดแทน ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงคิดเป็นมูลค่าอย่างน้อยประมาณ 3,751,300,000,000 วอน ตามที่รัฐบาลเกาหลีได้รับชัยชนะในเรื่องนี้อย่างเสียรภาพ ความนิยมของ Lee ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 32.8 % หลังจากนำเข้าเนื้อสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนก็เริ่มหันมาซื้อเนื้อจากอเมริกา และตอนนี้ได้กลายเป็นตลาดร่วมขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 รองจากเนื้อของออสเตรเลีย ลี กำลังเริ่มการเอาเศรษฐกิจ mojo ของเขากลับมาใช้ ซึ่งเป็นแผนที่ดูเรียบง่าย แต่เป็นก้าวที่สำคัญในการซึ่งสู่การปฏิรูป

นโยบายด้านการศึกษา

รัฐบาลของลี ได้ก่อตั้งมูลนิธิทุนการศึกษาแห่งชาติที่บริการและให้คำปรึกษาเรืองให้กู้เงินแก่นักเรียน และยในปัจจุบัน ก็มีแผนในการจ่ายเงินกู้คืนทีหลังได้ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่พยายามหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน อย่างไรก็แล้วแต่ รัฐบาลแต่งตั้งโรงเรียนมัธยมในเขตชนบท 82 แห่งเพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างเหมือนกับว่าป็น ”โรงเรียนประจำสาธารณะ “ และได้โอนเงินเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 317 ล้านล้าน โดยให้โรงเรียนละ 3.8 ล้านล้านโดยเฉลี่ย รัฐบาล อี มย็อง-บัก มีแผนที่จะให้เยาวชนที่เป็นเกาหลีอเมริกัน รวมตัวกันในการโปรโมทการศึกษาภาษาอังกฤษนอกโรงเรียนที่โรงเรียนสาธารณะ ในเขตชนบทเพื่อปรับปรุงคุณภาพการศึกษา

นโยบายด้านเศรษฐกิจ

Mbnomics เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic) ซึ่งได้มาจากการรวมเอาอักษรหน้าชื่อ Myung Bak และส่วนของคำ economics ( -nomics) มาสร้างเป็นคำว่า Mbnomics ซึ่งนาย Kang Man Soo รัฐมนตรียุทธศาสตร์การทหาร และ การคลัง เป็นผู้ออกแบบนโยบายนี้

แผน “ Korea 7.4.7 “ คือนโยบายที่เป็นจุดเด่นของ ลี ซึ่งชื่อนี้มาจากการที่แผนนี้ทำให้ความเจริญทางเศรษฐกิจของของเกาหลีเพิ่มขึ้นถึง 7 % .ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง และยังช่วยยกระดับรายได้หลักจากการค้าขึ้นถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เกาหลีติดอันดับที่ 7 ของโลกในด้านประเทศที่มีความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจ Lee ผลักดันการปกครองของเขาให้เป็นเกาหลีแบบใหม่ คือเป็นที่ที่ผู้คนมั่งคั่ง สังคมอบอุ่น และชาติมั่นคง ในการทำให้ได้ตามนี้ เขาวางแผนในการติดตามและดำเนินการในภาคปฏิบัติในเรืองการทำการตลาดแบบเป็นมิตร

ยุทธการ : การตลาดที่หลักแหลม, การปฏิบัติโดยอาศัยการสังเกต, การใช้มาตรการเข้มงวดในเรื่องประชาธิปไตย

เป้าหมายของ ลี ในตอนนี้ก็คือ การลดปริมาณคาร์บอน ให้ได้ในทศวรรษนี้ รัฐบาลหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเทศที่รวย และจน ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน โดยตั้งเป้าหมายที่จะทำเรื่องการแผ่รังสีของแก๊สเรือนกระจกให้สำเร็จให้ได้ในปี 2020

จากการที่ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตกต่ำในทุกวันนี้ ประธานาธิบดี ลี ได้เน้นในด้านความแน่นแฟ้นระหว่าง การเมืองและ วงจรธุรกิจ ลี ยังเสนอความคิดให้มีการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และ จีน มีเป้าหมายที่จะประสานงานกับตำรวจในการรับมือกับวิกฤติความเชื่อมั่นเช่นทุกวันนี้

นโยบายที่เกี่ยวกับต่างประเทศ

วัตถุประสงค์ ของรัฐบาลปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเป็นการรื้อฟื้น Four – Power ด้วยการเน้นในเรื่อง การยุติอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งการแก้ปัญหาการผลิตอาวุธนิวเคลียร์นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันระหว่างประเทศทั้ง 6 ในกลุ่ม

การพัฒนาในด้านความเป็นพันธมิตรกันระหว่าง เกาหลี – อเมริกา จะอยู่บนพื้นฐานที่เอื้อประโยชน์ต่อกันในระดับสากล ที่สำคัญๆก็เช่น อนุญาตให้เกาหลีมีสิทธิ์ขาดในการต่อต้านอันตราย และอิทธิพลที่มากเกินไปเหมือนกับสถานการณ์ของเกาหลีเหนือกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

นโยบายเกี่ยวกับประเทศเกาหลีเหนือ

เป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเกาหลีใต้ – เหนือ อยู่บนแผนเรื่อง. “การปลอดนิวเคลียร์, การเปิดเผยอย่างไร้ข้อแอบแฝง, 3,000" เป็นแผนที่จำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือกันระหว่างเกาหลีใต้ – เหนือ เพื่อนำมาซึ่งความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและความสงบสุขสู่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี

สถานการณ์ปัจจุบันของเกาหลีใต้ – เหนือ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ทางรัฐบาลก็ทำให้ชัดเจนมากขึ้นที่จะดำเนินการติดตามนโยบายการผลิตนิวเคลียร์ที่มากขึ้น และท้ายที่สุดก็จะส่งเสริมให้รวมเป็นอันหนึ่ง

อ้างอิง

  1. Special Report: Verifying Lee's Japanese birth. By Byeong-cheol Jeong [1] เก็บถาวร 2009-02-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  2. 이명박, '출생지(일본) 오류' 의혹속 방치, NewsTown
  3. Lee Myung-bak overcomes poverty and challenges to demonstrate CEO style leadership. By Yongwhan Kim, Kyunghyang Times [2]
  4. Choice 2007 Lee Myung-bak By Yeong-nam Jeong [3] เก็บถาวร 2009-03-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

แหล่งข้อมูลอื่น