เดวิด มอยส์

เดวิด มอยส์
มอยส์ขณะเป็นผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ดใน ค.ศ. 2021
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เดวิด วิลเลียม มอยส์[1]
วันเกิด (1963-04-25) 25 เมษายน ค.ศ. 1963 (60 ปี)[1]
สถานที่เกิด กลาสโกว์ สกอตแลนด์
ส่วนสูง 6 ft 1 in (1.85 m)[1]
ตำแหน่ง เซ็นเตอร์แบ็ก
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
เวสต์แฮมยูไนเต็ด (ผู้จัดการ)
สโมสรเยาวชน
1978 ÍBV
1978–1980 Drumchapel Amateurs
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1980–1983 เซลติก 24 (0)
1983–1985 เคมบริดจ์ยูไนเต็ด 79 (1)
1985–1987 บริสตอลซิตี 83 (6)
1987–1990 ชรูว์สบรีทาวน์ 96 (11)
1990–1993 Dunfermline Athletic 105 (13)
1993 Hamilton Academical 5 (0)
1993–1999 เพรสตันนอร์ทเอนด์ 143 (15)
รวม 535 (46)
ทีมชาติ
1980 สกอตแลนด์ อายุไม่เกิน 18 ปี
จัดการทีม
1998–2002 เพรสตันนอร์ทเอนด์
2002–2013 เอฟเวอร์ตัน
2013–2014 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2014–2015 เรอัลโซซิเอดัด
2016–2017 ซันเดอร์แลนด์
2017–2018 เวสต์แฮมยูไนเต็ด
2019– เวสต์แฮมยูไนเต็ด
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เดวิด วิลเลียม มอยส์ (อังกฤษ: David William Moyes; เกิด 25 เมษายน ค.ศ. 1963) เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด สโมสรในพรีเมียร์ลีก เขายังเคยเป็นผู้จัดการทีมให้แก่หลายสโมสรในอังกฤษ ได้แก่ เพรสตันนอร์ทเอนด์, เอฟเวอร์ตัน, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ ซันเดอร์แลนด์ และยังเคยเป็นผู้จัดการทีมเรอัลโซซิเอดัด ในลาลิกา ประเทศสเปน มอยส์ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของสมาคมผู้จัดการทีมแห่งลีกอังกฤษ (LMA Manager of the Year) 3 สมัยใน ค.ศ. 2003, 2005 และ 2009 และยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายบริหารของสมาคมดังกล่าวในปัจจุบัน

มอยส์ลงเล่นในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกว่า 540 นัดในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง โดยเริ่มต้นอาชีพกับสโมสรเซลติกในสกอตแลนด์ซึ่งเขาชนะเลิศการแข่งขันสกอตติชพรีเมียร์ชิปในฤดูกาล 1981–82 ก่อนจะย้ายไปเล่นกับอีกหลายสโมสร ได้แก่ เคมบริดจ์ ยูไนเต็ด, บริสตอลซิตี, ชรูว์สบรีทาวน์, ดันเฟิร์มลิน แอธเลติก และเล่นให้กับเพรสตันนอร์ทเอนด์เป็นสโมสรสุดท้ายก่อนจะประกาศเลิกอาชีพและผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่สโมสร และพาทีมชนะเลิศการแข่งขันสกายเบ็ตลีกทูได้ในฤดูกาล 1999–2000 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันเพลย์ออฟของอีเอฟแอลลีกวันได้ในฤดูกาลถัดมา

อาชีพผู้จัดการทีมของมอยส์เริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งต่อจาก วอลเตอร์ สมิธ ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2002 และสามารถพาทีมจบในอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2004–05 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ ค.ศ. 1988 ทำให้ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบคัดเลือกในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นการเข้าร่วมครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1970–71 ก่อนจะพาทีมคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพในฤดูกาล 2008–09[2] ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สโมสรชนะเลิศรายการดังกล่าวครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 1995 มอยส์มักจะพาเอฟเวอร์ตันรักษาอันดับต้น ๆ ในลีกได้อย่างมั่นคงโดยมักจะจบในอันดับ 5 ถึงอันดับ 8 เป็นส่วนมากตลอดระยะเวลา 11 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับทีม[3] และในช่วงที่เขาลาออกจากสโมสร เขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกยาวนานที่สุดเป็นอันดับสามต่อจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน แวงแกร์[4]

มอยส์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่อจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 โดยเฟอร์กูสันเป็นผู้เลือกมอยส์ให้มารับตำแหน่งต่อจากเขาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม มอยส์ถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนมีนาคมปีถัดมาจากผลงานอันย่ำแย่ซึ่งยูไนเต็ดตกไปอยู่อันดับ 7 ของตาราง และหมดสิทธิ์ทำอันดับเพื่อแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอย่างเป็นทางการ[5] ต่อมา มอยส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม เรอัลโซซิเอดัด ในลาลิกา ใน ค.ศ. 2014 แต่ก็ถูกปลดในหนึ่งปีหลังจากนั้น[6] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 เขาเข้ารับตำแหน่งต่อจาก แซม อัลลาร์ไดซ์ เพื่อคุมทีมซันเดอร์แลนด์ ก่อนจะลาออกเมื่อจบฤดูกาล 2016–17[7] เนื่องจากสโมสรตกชั้นสู่อีเอฟแอลแชมเปียนชิป และเขาได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 และพาทีมรอดพ้นการตกชั้นขึ้นมาจบอันดับ 13 ในลีก แต่ไม่ได้รับการต่อสัญญาเมื่อจบฤดูกาล อย่างไรก็ตาม มอยส์ได้กลับมารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมเวสต์แฮมอีกครั้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 ภายหลังจากสโมสรทำการปลดมานูเอล เปเลกรินิ[8]

การจัดการทีม

เปรสตันนอร์ธเอนด์ และเอฟเวอร์ตัน

มอยส์เคยเป็นทั้งผู้จัดการทีม และผู้เล่นของเปรสตันนอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1998-99 ก่อนจะประกาศยุติการเล่นฟุตบอล เมื่อจบฤดูกาลดังกล่าว และพาทีมชนะเลิศการแข่งขันลีกทูได้ในฤดูกาล 1999–2000 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟของอีเอฟแอลลีกวันได้ในฤดูกาลถัดมา

มอยส์มีชื่อเสียงเมื่อเป็นผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน เป็นระยะเวลานานถึง 11 ปี มีผลงานโดดเด่นที่สุดคือการพาทีมเข้าไปเล่นรอบตัดเลือกยูฟ่าแชมเปียส์ลีก และเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้หนึ่งครั้ง รวมถึงพาทีมจบในอันดับกลางตารางได้อย่างต่อเนื่อง มอยส์เป็นผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อในด้านการวางระบบทีมและการสร้างรากฐานสโมสรในระยะยาว แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากมายในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล แต่เขามีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพนักเตะในทีมโดยเฉพาะผู้เล่นเยาวชน[9] เขาลาออกมาเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 โดยเข้าแทนที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งประกาศยุติการทำหน้าที่เมื่อจบฤดูกาล 2012-13 ในวันพุธที่ 8 พฤษภาคม ปีเดียวกัน หลังจากเป็นผู้จัดการทีมมานานถึง 26 ปีครึ่ง ทั้งนี้ มอยส์ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 ของผู้จัดการทีมชาวสกอตซึ่งทำผลงานได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ รองจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และเคนนี แดลกลีช

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

มอยส์ในการคุมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

แม้จะเริ่มต้นได้ดีด้วยการชนะเลิศเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ด้วยการชนะวีแกนแอทเลติก 2–0 ทว่าหลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของมอยส์กลับทำผลงานได้ย่ำแย่ โดยเปิดฤดูกาลมา 6 นัดแรก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเก็บคะแนนไปได้เพียง 7 คะแนน และอันดับตกไปอยู่ที่ 12 เป็นสถิติที่แย่ที่สุดในรอบ 24 ปีของสโมสร[10] โดยจากข้อมูลทางสถิติระบุว่า ในช่วงเวลาที่มอยส์คุมทีมเพียงครึ่งฤดูกาล เขาเสียคะแนนไปมากกว่าส่วนที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยเสียจากทั้งฤดูกาล[11] รวมถึงการบุกไปแพ้สองคู่ปรับสำคัญอย่างลิเวอร์พูล 0–1 และแพ้แมนเชสเตอร์ซิตีอย่างยับเยิน 1–4 รวมถึงการแพ้ในบ้านต่อเวสต์บรอมมิชอัลเบียน 1–2 ซึ่งเป็นการแพ้คาบ้านต่อเวสต์บรอมมิชเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1978[12] มอยส์เซ็นสัญญากับอดีตลูกทีมที่เอฟเวอร์ตัน ได้แก่ มารวน แฟลายนี ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายในเดือนกันยายนด้วยราคา 27.5 ล้านปอนด์[13]

ผลงานของยูไนเต็ดยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 มอยส์พาทีมแพ้คาบ้านสองนัดรวดต่อเอฟเวอร์ตันและนิวคาสเซิล ซึ่งเป็นการแพ้ในบ้านต่อเอฟเวอร์ตันเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี และแพ้ในบ้านต่อนิวคาสเซิลเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี[14] รวมถึงเป็นการแพ้ในบ้านสองนัดติดต่อกันครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2001–02[15] ส่งผลให้ยูไนเต็ดตกไปอยู่อันดับ 9 ของตารางหลังจากลงเล่นไป 15 นัด ตามหลังทีมอันดับหนึ่งอย่างอาร์เซนอลถึง 13 คะแนน ตามด้วยการตกรอบเอฟเอคัพในเดือนมกราคมปีต่อมาโดยแพ้คาบ้านต่อสวอนซี 1–2 ซึ่งเป็นการแพ้คาบ้านต่อสวอนซีครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร[16] และยังตกรอบรองชนะเลิศลีกคัพจากการแพ้จุดโทษซันเดอร์แลนด์ และมีผลงานย่ำแย่อีกมากมาย เช่น การแพ้คาบ้านทั้งสองนัดต่อคู่อริลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตี 0–3, การแพ้ในลีกต่อสโตกซิตีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และยังตกรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[17]แม้จะเซ็นสัญญากับผู้เล่นฝีเท้าดีอย่าง ฆวน มาตา เข้ามาเสริมทีมเพิ่มในเดือนมกราคมด้วยค่าตัวถึง 37.1 ล้านปอนด์[18]

การคุมทีมนัดสุดท้ายของมอยส์คือการแข่งขันพรีเมียร์ลีกวันที่ 20 เมษายน 2014 ซึ่งยูไนเต็ดบุกไปแพ้เอฟเวอร์ตัน 0–2 ซึ่งเป็นการแพ้เอฟเวอร์ตันทั้งเหย้า-เยือน ในลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี[19] และในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดลงมติปลดมอยส์ออกจากตำแหน่ง โดยยูไนเต็ดอยู่ในอันดับที่ 7 ของตาราง และไม่ผ่านเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี เนื่องจากเหลือการแข่งขันอีก 4 นัดเท่านั้น มอยส์ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ 10 เดือนเท่านั้น ถือเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มีระยะเวลาการคุมทีมน้อยที่สุดเป็นอันดับสามตลอดกาล และน้อยที่สุดในรอบ 82 ปี แม้เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นตำนานของสโมสรอย่าง เดนิส ลอว์[20] และ เดวิด เบคแคม[21] ให้ทำหน้าที่ต่อไป

สโมสรได้แต่งตั้งให้ไรอัน กิกส์ ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดการทีมและผู้เล่นเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะจบฤดูกาล โดยฝ่ายบริหารสโมสรจะจ่ายค่าชดเชยอายุสัญญาที่ยังคงเหลืออีก 5 ปี เป็นเงิน 10 ล้านปอนด์ เนื่องจากมอยส์เซ็นสัญญาไว้เป็นเวลา 6 ปี[22] ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีของสโมสร ที่บอร์ดบริหารลงมติปลดผู้จัดการทีมออกอย่างกะทันหันเช่นนี้[23] แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทางสโมสรจะจ่ายค่าชดเชยให้เพียงแค่ 5 ล้านปอนด์เท่ากับแค่ปีเดียวเท่านั้น เนื่องจากในสัญญาระบุว่าหากทำทีมเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไม่ได้จะลาออก และมีการเปิดเผยอีกว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้แนะนำให้ผู้บริหารทีมปลดมอยส์ออก[24] มีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่าการแนะนำให้สโมสรแต่งตั้งมอยส์ ถือเป็นหนึ่งในความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของเฟอร์กูสัน[25] มอยส์ถูกแทนที่โดย ลูวี ฟัน คาล ในฤดูกาลต่อมา[26]

เรอัลโซเซียดัด

มอยส์ในฐานะผู้จัดการทีม เรอัลโซเซียดัดใน ค.ศ. 2015

มอยส์ว่างงานนานอยู่ถึง 10 เดือน ก่อนที่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้น จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมเรอัลโซเซียดัด ในลาลิกา ของสเปน ด้วยสัญญา 18 เดือน แทนที่ ฆาโคบาร์ อาร์ราเซเต ผู้จัดการคนเก่าที่ถูกปลดออกเนื่องจากทำผลงานได้แย่มาก โดยชนะไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากทั้งหมด 10 นัด[27] ซึ่งในการทำหน้าที่นัดที่ 18 มอยส์สามารถทำให้เรอัลโซเซียดัด เอาชนะทีมใหญ่อย่างบาร์เซโลนา ไปได้ 1–0[28] ซึ่งมอยส์ได้นำพาทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาลนี้ไปได้ ด้วยจบฤดูกาลที่อันดับ 12

แต่ในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ทางผู้บริหารทีมเรอัลโซเซียดัดตัดสินใจปลดเดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากทำผลงานได้แย่ เมื่อทีมตกไปอยู่อันดับ 16 ซึ่งเป็นท้ายตารางคะแนน มีเพียง 9 คะแนน และผลงานในระยะหลัง 5 นัดหลังสุด ชนะเพียงนัดเดียว[29]

ซันเดอร์แลนด์

ก่อนเปิดฤดูกาล 2016–17 มอยส์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์ แทนที่ของแซม อัลลาร์ไดซ์ ที่ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ โยกไปคุมทีมชาติอังกฤษ[30] โดยจบฤดูกาลในอันดับที่ 20 ถูกลดชั้นลงไปเล่นใน อีเอฟแอลแชมเปียนชิป และมอยส์ได้ลาออกภายหลังสิ้นสุดฤดูกาล 1 วัน

เวสต์แฮมยูไนเต็ด

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2017 ทางสโมสรเวสต์แฮมยูไนเต็ดได้ประกาศตั้งเดวิด มอยส์ เป็นผู้จัดการทีมด้วยสัญญา 6 เดือน เพื่อพาเวสต์แฮมยูไนเต็ดให้พ้นจากการตกชั้นใน ฤดูกาล 2017–18[31] โดยมอยส์สามารถช่วยให้เวสต์แฮมไม่ต้องตกชั้นโดยสิ้นสุดฤดูกาลในอันดับที่ 13 อย่างไรก็ตามเมื่อจบฤดูกาลทางสโมสรก็ไม่ต่อสัญญาทำให้มอยส์ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมไป

กลับมาเวสต์แฮมยูไนเต็ดอีกครั้ง

ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2019 มอยส์กลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเวสต์แฮมอีกครั้งด้วยสัญญา 18 เดือน[32] เข้ารับตำแหน่งต่อจาก มานูเอล เปเลกรินิ ซึ่งทำผลงานย่ำแย่โดยสโมสรตกไปอยู่อันดับ 17 ในขณะนั้น มีแต้มเหนือโซนตกชั้นเพียงแค่คะแนนเดียว เกมแรกของมอยส์คือการพาทีมชนะเอเอฟซี บอร์นมัธ 4–0 ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020 และพาสโมสรรอดจากการตกชั้นได้โดยจบในอับดับ 16 เก็บไปได้ 33 คะแนน ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 ผลงานฤดูกาลแรกของมอยส์คือการพาทีมเก็บได้ 20 คะแนนจากการคุมทีม 19 นัด[33]

ต่อมาในฤดูกาล 2020–21 มอยส์พาทีมเก็บไปได้ถึง 65 คะแนนเป็นสถิติใหม่ของสโมสรในการแข่งขันฟุตบอลลีก และจบในอับดับ 6 ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก สโมสรชนะได้ถึง 19 นัดในลีก รวมถึงชนะเกมเยือนได้ 9 นัด ซึ่งทั้งสองความสำเร็จถือเป็นสองสถิติใหม่ของสโมสรเช่นกัน[34] จากผลงานดังกล่าวทำให้กลุ่มกองเชียร์ของสโมสรได้ตั้งฉายาเขาว่า 'Moyesiah'[35] ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 มอยส์ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีกสามปี[36] มอยส์คุมทีมครบ 1,000 นัดในฐานะผู้จัดการทีม ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ในนัดที่เวสต์แฮมบุกไปเสมอกาแอร์เซ แค็งก์ 2–2 ในยูโรปาลีก[37][38]

สถิติการคุมทีม

ณ วันที่ 1 มกราคม 2022
สโมสร เริ่มต้น สิ้นสุด สถิติ
จำนวนนัด ชนะ เสมอ แพ้ เปอร์เซ็นต์ในการชนะ
เพรสตันนอร์ทเอนด์ 12 มกราคม 1998 14 มีนาคม 2002 234 112 60 62 047.86
เอฟเวอร์ตัน 14 มีนาคม 2002 30 มิถุนายน 2013 518 218 139 161 042.08
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1 กรกฎาคม 2013 22 เมษายน 2014 51 27 9 15 052.94
เรอัลโซเซียดัด 10 พฤศจิกายน 2014 9 พฤศจิกายน 2015 42 12 15 15 028.57
ซันเดอร์แลนด์ 23 กรกฎาคม 2016 22 พฤษาคม 2017 43 8 7 28 018.60
เวสต์แฮมยูไนเต็ด 7 พฤศจิกายน 2017 13 พฤษภาคม 2018 31 9 10 12 029.03
เวสต์แฮมยูไนเต็ด 29 ธันวาคม 2019 ปัจจุบัน 94 44 19 31 046.81
รวม 1,013 430 259 324 042.45

ผลงานผู้จัดการทีม

  • เอฟเวอร์ตัน
    • นำทีมอยู่ในพรีเมียร์ลีก 10 ฤดูกาลติดต่อกัน : ตั้งแต่ฤดูกาล 2002-03 ถึงฤดูกาล 2012-2013 (รางวัลจากประธานสโมสร)
    • ชนะเลิศ ซีเนียร์คัพ 3 สมัย : 2002-03, 2004-05, 2006-07
    • เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ 1 สมัย : 2008-09
  • แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 Hugman, Barry J., บ.ก. (1998). The 1998–99 Official PFA Footballers Factfile. Harpenden: Queen Anne Press. p. 211. ISBN 978-1-85291-588-9.
  2. "FA Cup (Sky Sports)". SkySports (ภาษาอังกฤษ).
  3. "David Moyes". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
  4. Bairner, Robin. "The 10 longest-serving Premier League managers of all time". www.footballtransfers.com (ภาษาอังกฤษ).
  5. "Manchester United sack manager Moyes". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  6. "Moyes sacked as Real Sociedad boss". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  7. "Moyes resigns as Sunderland boss". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  8. "David Moyes returns to West Ham United | West Ham United". www.whufc.com (ภาษาอังกฤษ).
  9. Sportsmail (2012-09-15). "The kids are alright! Moyes believes Everton set benchmark for giving youth the chance". Mail Online.
  10. หน้า 19 กีฬา, แฉมอยส์ดื้อไม่ฟังเสียงเฟอร์กีจนทีมพัง. เดลินิวส์ฉบับที่ 23,364: วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง
  11. "แฉ 'มอยส์' คุมทีมครึ่งซีซั่น เสียแต้มเยอะกว่า 'เฟอร์กี้' ทั้งฤดูกาล". ไทยรัฐ. 3 January 2014. สืบค้นเมื่อ 3 January 2014.
  12. "Manchester United manager David Moyes feels heat after shock 2-1 home defeat to West Brom". www.telegraph.co.uk.
  13. staff, Guardian (2013-09-02). "Manchester United complete £27.5m deal for Everton's Marouane Fellaini". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
  14. "David Moyes Record Breaker: Here are some of the most unwanted stats of the Moyes era". JOE.ie (ภาษาอังกฤษ).
  15. "Manchester United 0-1 Newcastle United". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  16. "Manchester United 1-2 Swansea City". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  17. "Bayern Munich 3-1 Manchester United (4-2 agg)". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  18. "Man Utd complete £37.1m Mata signing". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  19. "David Moyes Record Breaker: Here are some of the most unwanted stats of the Moyes era". JOE.ie (ภาษาอังกฤษ).
  20. Handler, Paul (2013-11-07). "The King gives his assent to Moyes' Red reign". Manchester Evening News (ภาษาอังกฤษ).
  21. http://www.squawka.com/news/exclusive-david-beckham-talks-about-englands-midfield-man-uniteds-signings-and-stats-in-football/178134
  22. "ด่วนมากที่สุด!! ผีประกาศแยกทาง "มอยส์"". ผู้จัดการออนไลน์. 22 April 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-26. สืบค้นเมื่อ 22 April 2014.
  23. "สายล่อฟ้า 22 04 57". สายล่อฟ้า. 22 April 2014. สืบค้นเมื่อ 22 April 2014.
  24. หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, สื่อนอกแฉเซอร์สั่งเชือดมอยส์. เดลินิวส์ฉบับที่ 23,569: วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 แรม 10 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเส็ง
  25. Luckhurst, Samuel (2020-04-22). "David Moyes became the problem at Manchester United over leaked teams". Manchester Evening News (ภาษาอังกฤษ).
  26. "Van Gaal appointed Man Utd boss". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  27. หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, มอยส์รับงานใหม่ นั่งคุม'โซเซียดัด'. เดลินิวส์ฉบับที่ 23,771: วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ 2557 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเมีย
  28. ""บาร์ซา" ยิงตัวเองพ่าย 0-1 อดเถลิงจ่าฝูง". ผู้จัดการออนไลน์. 5 January 2015. สืบค้นเมื่อ 5 January 2015.[ลิงก์เสีย]
  29. "มาเชลซี? โซเซียดัดปลด "มอยส์" สังเวยผลงานห่วย". ผู้จัดการออนไลน์. 9 November 2015. สืบค้นเมื่อ 10 November 2015.[ลิงก์เสีย]
  30. ""มอยส์" รีเทิร์นพรีเมียร์ฯ เซ็นคุมแมวดำ 4 ปี". ผู้จัดการออนไลน์. July 23, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-27. สืบค้นเมื่อ July 24, 2016.
  31. "มอยส์" รับเผือกร้อนคุมขุนค้อน 6 เดือน|url=https://www.posttoday.com/sports/football/524031
  32. "West Ham re-appoint David Moyes on 18-month deal". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
  33. "Villa avoid relegation with draw at West Ham". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  34. "David Moyes: I'm so proud to set a Premier League points record and lead West Ham United into Europe | West Ham United". www.whufc.com (ภาษาอังกฤษ).
  35. Rosser, Jack (2021-04-09). "Moyes happy with 'Moyesiah' nickname after West Ham miracle". www.standard.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
  36. "Moyes signs three-year West Ham deal". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  37. "West Ham TV Exclusive - David Moyes passes 1,000 games in management | West Ham United". www.whufc.com (ภาษาอังกฤษ).
  38. "Moyes to celebrate 1,000th game as manager". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-06.
  39. Stone, Simon (7 June 2023). "Fiorentina 1–2 West Ham United: Jarrod Bowen goal decides Europa Conference League final". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 7 June 2023.

แหล่งข้อมูลอื่น